การแจกรางวัล Morningstar Fund Awards ในปีนี้จัดเป็นที่ 3 ติดต่อกันแล้ว โดยใน Morningstar Fund Awards 2012 จะทำการมอบรางวัลแด่กองทุนที่มีผลการดำเนินงานปรับด้วยความเสี่ยงแล้วดีที่สุดในแต่ละประเภทโดยอ้างอิงจาก Morningstar Categories ซึ่งนอกเหนือจากการพิจารณาเชิงปริมาณ Quantitative แล้วนั้นยังได้มีการทำการพิจารณาเชิงคุณภาพ (Qualitative) โดยการมอบรางวัลครั้งนี้ประกอบไปด้วย
ประเภทที่ 1. กองทุนหุ้นขนาดเล็กถึงปานกลางได้แก่ กองทุนเปิดกรุงศรีหุ้นปันผล โดยบลจ. กรุงศรี จำกัด
ประเภทที่ 2.กองทุนหุ้นขนาดใหญ่ คือกองทุนเปิดกรุงศรีหุ้นไดนามิค ของ บลจ. กรุงศรี จำกัด เช่นกัน
ประเภทที่ 3.กองทุนตราสารหนี้ระยะปานกลางถึงยาว ได้แก่กองทุนเปิดรวงข้าวตราสารหนี้ ของ บลจ. กสิกรไทย จำกัด
และประเภที่ 4.กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น คือ กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี สมาร์ท ฟิกซ์ อินคัม ของ บลจ. เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน)
กรุงศรีชอบหุ้นหนี้ต่ำปันผลสูง
สำหรับการบริหารกองทุนเปิดกรุงศรีหุ้นปันผล และกองทุนเปิดกรุงศรีหุ้นไดนามิค นั้นประภาส ตันพิบูลศักดิ์ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการลงทุน บลจ.กรุงศรี กล่าวว่า เราจะเน้นลงทุนในบริษัท ที่มีกระแสเงินสดเป็นบวกและมีหนี้ต่ำโดยส่วนใหญ่ หรือบางบริษัทไม่มีหนี้เลยก็มี และมีศักยภาพในการจ่ายเงินปันผลออกมาค่อนข้างมาก โดยมีอัตราการจ่ายปันผลประมาณ 5-6% ขึ้่นไป แต่อาจมีบางบริษัทที่จ่ายเงินปันผลไม่สูงมากนัก แต่เอาเงินสดไปขยายงานอย่างมีนัยยะสำคัญ โดยทีมผู้จัดการกองทุนจะให้ความสำคัญในการพิจารณาเลือกบริษัทเล่านี้เข้ามาในพอร์ตลงทุน
ทั้งนี้ผู้จัดการกองทุนจะให้ความสำคัญกับบริษัทที่จ่ายเงินปันมากทั้งในปัจจุบันและอนาคต และหลีกเลี่ยงบริษัทที่ไม่มีการเติบโตหรือเติบโตถดถอย ซึ่งเราจึงมองได้ 2 มิติเพราะว่าที่มาของผลตอบแทนมา 2 ทางคือราคาหุ้นและอัตราการจ่ายเงินปันผลที่จะต้องเพิ่มขึ้นด้วย
"เราให้น้ำหนักทั้ง 2 เรื่องและเป็นที่มาของการเติบโตที่ดีของกองทุนหุ้นปันผลในระยะ 3-5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งค่อนข้างเติบโตโดดเด่นในอุตสหกรรมนี่เป็นหลักการลงทุนที่ดีไม่ใช่เฉพาะกับบลจ.กรุงศรีเท่านั้น แต่ยังเป็นหลักการที่เราเริ่มเห็นบลจ.อื่นๆนำไปใช้ เพราะนำมาซึ่งการประสบความสำเร็จ เราคิดว่านี่คือหลักการ และวิธีการที่เหมาะสมสำหรับการลงทุนระยะยาว และเหมาะสมในช่วงตลาดหุ้นและเศรษฐกิจมีความผันผวนมากๆเช่นในปี 2554 ที่ผ่านมาดัชนีตลาดหุ้นไทยผันผวนขึ้นลง แต่กองทุนเหล่านี้ก็สามารถรักษาผลตอบแทนที่ดีอย่างต่อเนื่อง แต่อาจจะไม่มากเหมือนในอดีต"
ส่วนกองทุนเปิดกรุงศรีหุ้นไดนามิค เป็นกองทุนที่เพิ่งได้รับรางวัลในปีนี้ ซึ่งกองทุนดังกล่าวเน้นลงทุนในหุ้นที่มีการเติบโตสูงเป็นส่วนใหญ่ โดยมีบางช่วงที่ลงทุนในหุ้นปันผลบ้าง และเน้นการลงทุนในบริษัทที่มีสภาพคล่องของการซื้อขายหุ้นสูง เพราะชื่อกองทุนคือไดนามิค สามารถปรับพอร์ตไปลงทุนหุ้นเติบโตสูง หุ้น Defensive บ้างหากสภาพตลาดไม่ดี โดยลักษณะโครงสร้างของพอร์ตการลงทุนจะต่างกันอย่างมีนัยยะสำคัญ แต่อย่างไรก็ตามหลักการที่ใช้คือ เน้นการลงทุนในบริษัทที่ต้องสามารถรับมือกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลก รวมถึงเศรษฐกิจภายในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยทางการเมือง สิ่งแวดล้อม และปัจจัยธรรมชาติได้
"สิ่งที่เรามองเห็นในการลงทุนในหุ้นเติบโตสูงคือเรื่องความเสี่ยงที่ธุรกิจนั้นๆต้องเผชิญว่ามีอะไรหรือไม่ และจะได้รับผลกระทบอย่างไร เช่นเรื่องน้ำท่วมในปีที่ผ่านมา เราก็ตรวจพอร์ตว่ามีหุ้นได้รับผลกระทบมากหรือน้อย ซึ่งภาพรวมของบริษัทที่เราเข้าไปลงทุนได้รับผลกระทบมากน้อย ก็ได้รับผลสะท้อนกลับมาในเชิงบวก ก็เป็นที่มาของผลตอบแทนที่ดีในปีที่ผ่านมา อันที่จริงแล้วผลตอบแทนในหลายปีที่ผ่านมาก็ดี เพียงแต่ว่าหุ้นปันผลมีความโดดเด่นมากกว่า ปรากฎว่ากองทุนนี้ดีกว่าหุ้นปันผลอีก ผลตอบแทนทั้งปีประมาณ 9% ซึ่งภาพรวมในช่วง3-5 ปีก็มีความใกล้เคียงกับหุ้นปันผลมากๆแต่ว่าแนวทางและบริษัทที่ลงทุนมีความต่างกัน ซึ่งสุดท้ายก็ให้ผลลัพท์ที่ใกล้เคียงกัน"
รวงข้าวตราสารหนี้ เก่าแต่เก๋าประสบการณ์
ประเสริฐ ขนบธรรมชัย รองกรรมการผู้จัดการ บลจ.กสิกรไทย กล่าวว่า สำหรับกองทุนเปิดรวงข้าวตราสารหนี้ จัดตั้งกองทุนเมื่อปี 2538 ถือว่าผ่านสถานการณ์ทั้งดีและไม่ดีมามาก โดยกองทุนดังกล่าวจะลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุค่อนข้างยาวกนานกว่ากองทุนอื่นๆซึ่งอายุเฉลี่ยของตราสารอยู่ที่ 3 ปี แต่หากเทียบกับกองทุนอื่นๆจะกลายเป็นอายุยาวไปทันที โดยกองทุนเปิดรวงข้าวตราสารหนี้ เป็นกองทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้ระยะปลานกลางถึงระยะยาว ขณะที่กองทุนตราสารหนี้ทั่วไปจะลงทุนในตราสารหนี้อายุสั้นกว่ากองทุนนี้ โดยอายุเฉลี่ยของตราสารจะอยู่ที่ 1-2 ปีเท่านั้น โดย Durution ของพอร์ตในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 3-3.5 ปี โดยในปีถัดไปมีความเป็นไปได้ที่ดอกเบี้ยจะปรับขึ้่น ถึงตอนนั้น Durution ของพอร์ตก็ต้องปรับอีกครั้งแต่ในระยะยาวก็คงยังอยู่ในช่วง 2-4ปี
สำหรับปัจจัยที่กระทบตลาดตราสารหนี้ได้แก่การปรับขึ้นและลงของอัตราดดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งทำให้เกิดความผันผวนในรตลาดอยู่ไม่น้อย อีกส่วนคือการที่มีเงินทุนไหลเข้ามาจากต่างชาติซึ่งเข้ามาอยู่ในตลาดตราสารหนี้ไทยทำให้ผลตอบแทนตราสารหนี้ระยะยาวมีการปรับขึ้นลงตามปริมาณเม็ดเงินที่มีดีมาน์เข้ามาด้วย
"สองปัจจัยนี้ทำให้เกิดความยุ่งยากในการลงทุน เพราะตลาดเคลื่อไหวผันผวนตลอด ซึ่งในช่วงต้นปี Durution ยังต่ำอยู่ แต่พอดอกเบี้ยปรับขึ้นกองทุนก็มีการปรับ Durution เพิ่มขึ้นและมาช่วงที่ดอกเบี้ยใกล้จะลงก็เป็นช่วงที่กองทุนมี Durution ยาวสุดจากนั้นจึงปรับลดลง"
เอฟซีสมาร์ทฟิกซ์อินคัมบริหารแบบแอคทีฟฟันด์
ปวเรศว์ วิภูนาถ ผู้จัดการกองทุน บลจ.เอ็มเอฟซี อธิบายว่า อายุเฉลี่ยของตราสารหนี้ที่กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี สมาร์ท ฟิกซ์ อินคัม ลงทุนประมาณ 1.58 ปี ส่วนในปี 2554 Durution ในครึ่งปีแรกมองไว้ค่อนข้างต่ำเนื่องจากมองว่าดอกเบี้ยเป็นขาขึ้นผลกระทบจากตลาดฝั่งยุโรปไม่ค่อยมากจึงวาง Durution ไว้เพียง 0.8 ปี และไปลงทุนในเงินฝาก ตั๋วบีอีของสถาบันทางการเงินแทน เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์แข่งขันให้อัตราที่ดีมาก จึงล๊อกเทอมไปเพื่มสัดส่วนตรงนี้ขึ้นมาแทน แล้วมาเริ่มปรับ Durution ด้วยการซื้อพันธบัตรรัฐบาลในช่วงอายุที่สูงมากขึ้น ส่วนการลงทุนในหุ้นกู้ภาคเอกชนนั้นเป็นการกระจายการลงทุน หุ้นก็ที่ถือมากที่สุดเป็นของธนาคารเกาหลี เป็นต้น
ทางด้านพัณณรัชต์ บรรพโต ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส บลจ.เอ็มเอฟซี กล่าวว่า ประเด็นที่พิจารณาเพื่อทำกลยุทธ์การลงทุนรายไตรมาสนั้นมี 2 เรื่องคือ Durution ของพอร์ตการลงทุน ซึ่งจะกำหนดมากจาการพิจารณาเรื่องอัตราดอกเบี้ยและแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารที่ลงทุน หรือ Credit Risk
"หากพิจารณาเห็นว่า Durution ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันเหมาะสมกับทิศทางแนวโน้มในอีก 3 เดือนข้างหน้าก็อาจจะไม่ต้องปรับพอร์ตก็ได้ก็เป็นการคง Durution เท่าเดิม แต่หากพิจารณาแล้วเห็นว่าแนวโน้มเศรษฐกิจดีขึ้น มีโอกาสที่จะได้รับการ Upgrade อันดับความน่าเชื่อถือในบางเซกเตอร์ก็อาจจะมีการปรับ outlook ของเซกเตอร์นั้นๆและผู้จัดการกองทุนก็อาจจะเลือกซื้อตราสารที่มีแนวโน้มการปรับอันดับความน่าเชื่อถือที่ดีเพิ่มเข้ามาสในพอร์ต"