ไทยศรีประกันภัย คาดปีมังกรหุ้นยังแจ่มให้น้ำหนักลงทุนเต็มเพดาน หลังกลุ่มพลังงาน อาหาร สื่อสารช่วยทำกำไรในปีที่ผ่านมา พร้อมเล็งขยายพอร์ตตราหนี้เพิ่มเป็น 40% หวังเพิ่มยิลด์ช่วงดอกเบี้ยผันผวน
นางสาวนาตยา เศรษฐ์พิศาลศิลป์ ผู้จัดการ สำนักลงทุนและบริหารทรัพย์สิน บริษัทไทยศรีประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ THAISRI เปิดเผยว่า พอร์ตการลงทุนของบริษัทขณะนี้มีประมาณ 3,000 ล้านบาท โดยบริษัทมีแผนขยายพอร์ตการลงทุนต่อเนื่อง เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน โดยเฉพาะการลงทุนในตราสารหนี้ ที่จะมีการปีรับสัดส่วนการลงทุนให้เท่ากับสัดส่วนการลงทุนเดิม ที่ 40% และเพื่อเป็นการรรสร้างผลตอบแทนช่วงความผันผวนของดอกเบี้ย บริษัทเน้นลงทุนในตราสารหนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อายุไม่เกิน 1 ปีเพื่อกระจายความเสี่ยง
ทั้งนี้ พอร์ตการลงทุนจำนวน 3,000 ล้านบาท แบ่งการลงทุนออกเป็น การลงทุนในตราสารทุนประมาณ 30% หรือคิดเป็นเม็ดเงินประมาณ 900 กว่าล้านบาท ลงทุนในตราสารหนี้ประมาณ 30% หรือคิดเป็นเม็ดเงินลงทุนประมาณ 800 กว่าล้านบาท ลงทุนในกองทุนไม่เกิน 10% คิดเป็นเม็ดเงินประมาณ 200 ล้านบาท ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ประมาณ 20% คิดเป็นเม็ดเงิน 700 ล้านบาท ที่เหลือไม่เกิน 10% ลงทุนในเงินฝากและเงินกู้ยืม
ส่วนทิศทางการลงทุนในปีนี้ บริษัทจะยังคงให้น้ำหนักการลงทุนในหลักทรัพย์เป็นหลักแม้ว่าสัดส่วนการลงทุนดังกล่าวจะเต็มเพดานที่กำหนดไว้ 30% หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 900 ล้านบาทแล้วก็ตาม แต่ด้วยการบริหารพอร์ตลงทุนที่ดีมาตลอด ส่งผลให้พอร์ตลงทุนดังกล่าวสามารถทำกำไรได้สูงกว่า 100 ล้านบาท
"หลักทรัพย์ที่บริษัทเข้าลงทุน สามารถทำกำไรให้บริษัทมาดีตลอด เนื่องจาก บริษัทเน้นลงทุนในหลักทรัพย์กลุ่มที่มีปันผลดี ประกอบด้วย หลักทรัพย์กลุ่มพลังงาน กลุ่มสื่อสาร และกลุ่มอาหาร เพราะหลักทรัพย์กลุ่มดังกล่าวนอกจากสร้างกำไรด้านราคาแล้ว ยังสามารถจ่ายปันผลในอัตราที่สูงเกิน 5 % มาตลอด อย่างกลุ่มสื่อสารที่บริษัทลงทุนมีการจ่ายปันผลสูงเกิน 10% กลุ่มอาหารก็เช่นกัน"นางสาวนาตยากล่าว
นางสาวนาตยา กล่าวอีกว่า ในส่วนการลงทุนผ่านพอร์ตเงินฝาก ยอมรับว่า อัตราดอกเบี้ยขาลงได้ส่งผลกระทบต่อการลงทุนของผู้ลงทุนค่อนข้างมาก ประกอบกับ ล่าสุด นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เคาะเม็ดเงินนำส่งแก้หนี้กองทุนฟื้นฟูฯ 0.47% เข้ากองทุนฟื้นฟูฯ จำนวน 0.46% และเข้าสถาบันประกันเงินฝาก 0.01% จากแบงก์พาณิชย์และแบงก์รัฐส่งผลให้โอกาสที่จะได้เงินผลตอบแทนคงมีน้อยมาก
อย่างไรก็ตาม บริษัทถือว่าโชคดีที่มีสัดส่วนการลงทุนผ่านเงินฝากและกู้ยืมไม่ถึง 10% ผลกระทบจากปัจจัยลบดังกล่าวจึงไม่มีไม่มากนัก และบริษัทก็ไม่มีแผนลดการลงทุนในเงินฝากแต่อย่างไร
นางสาวนาตยา เศรษฐ์พิศาลศิลป์ ผู้จัดการ สำนักลงทุนและบริหารทรัพย์สิน บริษัทไทยศรีประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ THAISRI เปิดเผยว่า พอร์ตการลงทุนของบริษัทขณะนี้มีประมาณ 3,000 ล้านบาท โดยบริษัทมีแผนขยายพอร์ตการลงทุนต่อเนื่อง เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน โดยเฉพาะการลงทุนในตราสารหนี้ ที่จะมีการปีรับสัดส่วนการลงทุนให้เท่ากับสัดส่วนการลงทุนเดิม ที่ 40% และเพื่อเป็นการรรสร้างผลตอบแทนช่วงความผันผวนของดอกเบี้ย บริษัทเน้นลงทุนในตราสารหนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อายุไม่เกิน 1 ปีเพื่อกระจายความเสี่ยง
ทั้งนี้ พอร์ตการลงทุนจำนวน 3,000 ล้านบาท แบ่งการลงทุนออกเป็น การลงทุนในตราสารทุนประมาณ 30% หรือคิดเป็นเม็ดเงินประมาณ 900 กว่าล้านบาท ลงทุนในตราสารหนี้ประมาณ 30% หรือคิดเป็นเม็ดเงินลงทุนประมาณ 800 กว่าล้านบาท ลงทุนในกองทุนไม่เกิน 10% คิดเป็นเม็ดเงินประมาณ 200 ล้านบาท ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ประมาณ 20% คิดเป็นเม็ดเงิน 700 ล้านบาท ที่เหลือไม่เกิน 10% ลงทุนในเงินฝากและเงินกู้ยืม
ส่วนทิศทางการลงทุนในปีนี้ บริษัทจะยังคงให้น้ำหนักการลงทุนในหลักทรัพย์เป็นหลักแม้ว่าสัดส่วนการลงทุนดังกล่าวจะเต็มเพดานที่กำหนดไว้ 30% หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 900 ล้านบาทแล้วก็ตาม แต่ด้วยการบริหารพอร์ตลงทุนที่ดีมาตลอด ส่งผลให้พอร์ตลงทุนดังกล่าวสามารถทำกำไรได้สูงกว่า 100 ล้านบาท
"หลักทรัพย์ที่บริษัทเข้าลงทุน สามารถทำกำไรให้บริษัทมาดีตลอด เนื่องจาก บริษัทเน้นลงทุนในหลักทรัพย์กลุ่มที่มีปันผลดี ประกอบด้วย หลักทรัพย์กลุ่มพลังงาน กลุ่มสื่อสาร และกลุ่มอาหาร เพราะหลักทรัพย์กลุ่มดังกล่าวนอกจากสร้างกำไรด้านราคาแล้ว ยังสามารถจ่ายปันผลในอัตราที่สูงเกิน 5 % มาตลอด อย่างกลุ่มสื่อสารที่บริษัทลงทุนมีการจ่ายปันผลสูงเกิน 10% กลุ่มอาหารก็เช่นกัน"นางสาวนาตยากล่าว
นางสาวนาตยา กล่าวอีกว่า ในส่วนการลงทุนผ่านพอร์ตเงินฝาก ยอมรับว่า อัตราดอกเบี้ยขาลงได้ส่งผลกระทบต่อการลงทุนของผู้ลงทุนค่อนข้างมาก ประกอบกับ ล่าสุด นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เคาะเม็ดเงินนำส่งแก้หนี้กองทุนฟื้นฟูฯ 0.47% เข้ากองทุนฟื้นฟูฯ จำนวน 0.46% และเข้าสถาบันประกันเงินฝาก 0.01% จากแบงก์พาณิชย์และแบงก์รัฐส่งผลให้โอกาสที่จะได้เงินผลตอบแทนคงมีน้อยมาก
อย่างไรก็ตาม บริษัทถือว่าโชคดีที่มีสัดส่วนการลงทุนผ่านเงินฝากและกู้ยืมไม่ถึง 10% ผลกระทบจากปัจจัยลบดังกล่าวจึงไม่มีไม่มากนัก และบริษัทก็ไม่มีแผนลดการลงทุนในเงินฝากแต่อย่างไร