xs
xsm
sm
md
lg

ขายกองบอนด์สั้นรับดบ.ขาลง 3บลจ.ตบเท้าส่งของใหม่ดึงเงิน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน - 3 บลจ.พร้อมใจส่งกองทุนตราสารหนี้ ระดมเงินช่วงดอกเบี้ยขาลง เสนอทางเลือกลงทุนบอนด์คุณภาพดี ทั้งในและต่างประเทศ ชูผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝาก

นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในสัปดาห์นี้ บริษัทเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดกรุงไทยธนทรัพย์ บี 27 (KTSUPB27 ) ระหว่างวันที่ 2-7 กุมภาพันธ์ 2555 อายุโครงการ 6 เดือน มีนโยบายลงทุนตราสารในประเทศ และต่างประเทศ ซึ่งประกอบด้วย เงินฝาก ตราสารการเงินระยะสั้นธนาคารพาณิชย์ และตั๋วแลกเงิน ในสัดส่วน 25% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ส่วนที่เหลือลงทุนในตราสารต่างประเทศ ประเภทเงินฝากประจำ Bank of China สกุล USD , เงินฝากประจำ Union National Bank (UNB ) , เงินฝากประจำ First Gulf Bank (FGB) , MTN ของ ICBC Asia Ltd. สกุล USD และ ECP ของ GSCaltex สกุล USD ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณ 3.40% ต่อปี
สำหรับภาวะการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ระยะสั้นไม่เกิน 1 ปี ในประเทศ ยังคงมีแนวโน้มปรับตัวลดลง หลังจาก คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมาอยู่ในระดับ 3.00% เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งตลาดการเงินส่วนใหญ่เชื่อว่าจะมีการคงอัตราดอกเบี้ยในระดับนี้ต่อเนื่องไปอย่างน้อยจนถึงครึ่งหลังของปี โดยปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเชิงนโยบายคือ การฟื้นตัวของภาคการบริโภค การลงทุนในประเทศ รวมถึงผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจในยุโรป และการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชีย
สำหรับตลาดอัตราแลกเปลี่ยน ได้คาดการณ์ว่า การเจรเจาเพื่อแก้ปัญหาหนี้ของกรีซ รวมถึงผลการประมูลพันธบัตรของรัฐบาลในยุโรปที่มีความต้องการลงทุนสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ จึงทำให้ค่าเงินยูโรปรับตัวแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลล่าร์สหรัฐฯ เช่นเดียวกับเงินบาทที่เริ่มแข็งค่าขึ้น โดยนักลงทุนเริ่มกลับมาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มขึ้น ผลดังกล่าวทำให้ดอลล่าร์พรีเมี่ยมปรับตัวเพิ่มขึ้น และเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ผลตอบแทนจากการลงทุนในต่างประเทศหลังปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนปรับตัวดีขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ในระหว่างการเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดกรุงไทยประจำ 6 เดือนคุ้มครองเงินต้น 5 (KTFIX6M5) ประเภท Roll Over เสนอขายถึงวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2555 อายุโครงการ 6 เดือน เน้นลงทุนในพันธบัตรภาครัฐในประเทศ 60% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ส่วนที่เหลือลงทุนในเงินฝากประจำธนาคารพาณิชย์ ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณ 2.70% ต่อปี
นายธีรนาถ รุจิเมธาภาส กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า บลจ.ทิสโก้ เปิดเสนอขายกองทุนเปิด ทิสโก้ ตราสารหนี้เพิ่มค่า 6M2 (TISCO Fixed Income PlusFund 6M2)" ซึ่งเป็นกองทุนรวมตราสารหนี้ทั้งในและต่างประเทศ โดยในกรณีที่มีการลงทุนในต่างประเทศจะมีการป้องความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวนโดยกองทุนดังกล่าวเหมาะกับผู้ที่ต้องการลงทุนในระยะสั้นและเพิ่มโอกาสในการรับผลตอบแทนที่ดีกว่าเงินฝาก ซึ่งกองทุนดังกล่าว มีมูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท อายุโครงการประมาณ 6เดือน เปิดเสนอขายครั้งแรก (ไอพีโอ) ระหว่างวันนี้ - 6กุมภาพันธ์ 2555 มูลค่าจองซื้อขั้นต่ำ 20,000 บาท
ทั้งนี้ TISCO Wealth ซึ่งเป็นบริการที่ปรึกษาทางการเงินและการลงทุนอย่างครบวงจรของกลุ่มทิสโก้ มองว่า ทิศทางอัตราดอกเบี้ยในช่วงต่อจากนี้จะทรงตัวอยู่ที่ระดับ 3%ไปอีกระยะหนึ่ง หลังจากที่ล่าสุดคณะกรรมการนโยบายการเงินได้มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมา0.25% โดยปัจจัยที่จะมีผลต่อทิศทางอัตราดอกเบี้ยต่อจากนี้คือการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ได้รับกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วมว่าจะสามารถฟื้นตัวได้ตามที่คาดหรือไม่รวมถึงผลของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐดังนั้นช่วงนี้ภาพของทิศทางอัตราดอกเบี้ยยังทรงตัว ดังนั้น การลงทุนที่เหมาะสมจึงควรอยู่ที่ประมาณ 6 เดือนเพื่อไม่เป็นการเสียโอกาสในการลงทุนและสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องลงทุนที่ความเสี่ยงไม่สูง การลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพดีถือเป็นทางเลือกที่ดีและช่วยเพิ่มโอกาสในการรับผลตอบแทนที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก
นางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า ขณะนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างการขายกองทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นอายุ 3 เดือน ถึง 1 ปี พร้อมกัน 4 กองทุน มูลค่ารวมกว่า 30,000 ล้านบาท โดยจะเปิดขายไปถึงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2555 ด้วยมูลค่าเงินลงทุนขั้นต่ำ 10,000 บาท สำหรับกองทุนแรกคือ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์พันธบัตรรัฐบาล 6M110 อายุ 6 เดือน คาดผลตอบแทนประมาณ 2.90% ต่อปี มีนโยบายการลงทุนในตั๋วเงินคลังสัดส่วน 99.50% ส่วนที่เหลือลงทุนในเงินฝากออมทรัพย์ กองทุนที่สอง กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ตราสารหนี้ 3M34 อายุ 3 เดือน คาดผลตอบแทนประมาณ 3.10% ต่อปี มีนโยบายการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทยสัดส่วน 26% เงินฝากธนาคารต่างประเทศที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ F1 โดย Fitch Rating คือเงินฝากธนาคาร Bank of China (BOC) สัดส่วน 19.50% เงินฝากธนาคารUnion National Bank(UNB) สัดส่วน 15% เงินฝากธนาคาร First Gulf (UAE) สัดส่วน 10% และตราสารหนี้ต่างประเทศที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ A-1 โดย S&P ได้แก่ ตราสารหนี้ธนาคาร Bank of East Asia สัดส่วน 24.50% ตราสารหนี้ธนาคาร Industrial and Commercial Bank of China (ICBC) สาขาซิตนีย์ สัดส่วน 5% พร้อมปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Hedging) เรียบร้อยแล้ว
นอกจากนี้ ยังมีกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ตราสารหนี้ 6M51 อายุ 6 เดือน คาดผลตอบแทนประมาณ 3.40% ต่อปี มีนโยบายลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทยสัดส่วน 21% ตราสารหนี้ต่างประเทศที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ A-1 โดย S&P ได้แก่ ตราสารหนี้ธนาคาร Bank of East Asia สัดส่วน 24.50% ตราสารหนี้ธนาคาร Industrial and Commercial Bank of China (ICBC) สาขาซิตนีย์ สัดส่วน 10% และเงินฝากธนาคารต่างประเทศที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ F1 โดย Fitch Rating คือ เงินฝากธนาคารUnion National Bank(UNB) สัดส่วน 15% เงินฝากธนาคาร First Gulf (UAE) สัดส่วน 15% เงินฝากธนาคาร Bank of China (BOC) สัดส่วน 14.50%พร้อมปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Hedging) เรียบร้อยแล้ว
กองทุนสุดท้าย คือ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ตราสารหนี้ต่างประเทศ 1Y22 อายุ 1 ปี คาดผลตอบแทนประมาณ 4.0% ต่อปี มีนโยบายลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทยสัดส่วน 4.40% ตราสารหนี้ต่างประเทศที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ A-1(S&P)/ P-2 (Moody’s) และ F2/F1 (Fitch) ได้แก่ ตราสารหนี้ธนาคาร Industrial and Commercial Bank of China (ICBC) Asia สัดส่วน 24.30% ตราสารหนี้ธนาคาร Suhyup ธนาคาร Woori และธนาคาร Korea Development (KDB) ในสัดส่วนละ 9% และเงินฝากธนาคารต่างประเทศที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ F1 โดย Fitch Rating คือ เงินฝากธนาคาร China Construction (CCB) สัดส่วน 19.80% และ เงินฝากธนาคาร Bank of China (BOC) สัดส่วน 24.50%พร้อมปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Hedging) เรียบร้อยแล้ว
กำลังโหลดความคิดเห็น