บลจ.ไอเอ็นจี ชูจุดแข็งเชี่ยวชาญหุ้นและตราสารหนี้ สร้างความพึงพอใจให้นักลงทุน สู้ศึกอุตหกรรมกองทุนรวม ล่าสุดกองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย เอเชี่ยน เดบท์ รีจินอล บอนด์ ปันผล กระจายการลงทุนในตราสารหนี้ภูมิภาคเอเชีย เชื่อพื้นฐานเศรษฐกิจเอเชียแข็งแกร่งและมีเสถียรภาพ เปิดขายไอพีโอแล้วตั้งแต่วันที่30 มกราคม - 7 กุมภาพันธ์ 2555
นายจุมพล สายมาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ปีที่ผ่านมาเรามีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิอยู่ที่ 110,000 ล้านบาท โดยในปีนี้เราตั้งเป้าที่จะเติบโตประมาณ 20% ซึ่งเราจะเน้นเติบโตในกลุ่มธุรกิจกองทุนรวมเป็นหลัก โดยเราจะมีผลิตภัณฑ์การลงทุนที่หลากหลายมากขึ้นเพื่อให้เหมาะสมกับการลงทุนในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งในไตรมาสที่ 2/55 นี้เราจะมีกองทุนหุ้นที่เน้นลงทุนในอาเซียน และในไตรมาสที่ 3/55 เราจะออกกองทุนอสังหาริมทรัพย์เพิ่มเติมเพื่อเป็นทางเลือกให้กับนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนทั่วไปอีกด้วย ในส่วนของธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพนั้นเราจะเน้นให้นักลงทุนได้เลือกรูแบบการลงทุนแบบ Employee's Choice ส่วนกองทุนส่วนบุคคลนั้นเราจะเน้นไปทางนักลงทุนสถาบันเป็นหลัก
"แผนการดำเนินงานของบลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) ปีนี้เราจะเน้นไปที่การบริหารงานเป็นหลัก โดยโจทย์ที่สำคัญคือทำให้นักลงทุนพอใจ ไม่ว่าจะเป็นผลการดำเนินงาน การบริการ ซึ่งจะไม่เน้นเป้า AUM เป็นหลัก โดยการแข่งขันของบลจ.ในอุตสหกรรมตอนนี้ต้องโฟกัสจุดเด่นและจุดแข็งของบลจ.ก่อนว่ามีอะไร ซึ่งในส่วนของบลจ.ไอเอ็นจี นั้นมีความเชียวชาญทางด้านการลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ไม่ว่าจะเป็นทั้งในประเทศและต่างประเทศ ผลการดำเนินงานของแต่ละกองทุนนั้นก็ให้ Retrun ที่ดีมาตลอด"นายจุมพลกล่าว
นายจุมพล กล่าวต่อว่า บลจ. ไอเอ็นจี กำลังจะเปิดเสนอขาย กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย เอเชี่ยน เดบท์ รีจินอล บอนด์ ปันผล” ให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ในระหว่างวันที่ 30 มกราคม ถึงวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2012 นี้ โดยกองทุนดังกล่าวมีนโยบายลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน ING (L) Renta Fund Asian Debt (Local Bond) ที่มีนโยบายกระจายการลงทุนในตราสารหนี้ ตราสารตลาดเงิน และเงินฝาก เช่น ประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย ไทย อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ อินเดีย ฮ่องกง และจีน เป็นต้น
ทั้งนี้เราเชื่อว่า กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย เอเชี่ยน เดบท์ รีจินอล บอนด์ ปันผล จะเป็นอีกทางเลือกที่เหมาะสมแก่การลงทุนในปี 2012 เนื่องจากกองทุนจะเข้าลงทุนในตราสารหนี้ของภูมิภาคเอเชีย ซึ่งภูมิภาคเอเชียนับว่ามีความโดดเด่นหลายประการ โดยเฉพาะความแข็งแกร่งและมีเสถียรภาพของพื้นฐานเศรษฐกิจ ทำให้อันดับความน่าเชื่อถือของอีกหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียมีโอกาสปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2012 มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิซ ได้ปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศอินโดนีเซีย จาก Ba1 ขึ้นมาที่ Baa3 พร้อมแนวโน้ม (Outlook) ที่มีเสถียรภาพ จากความสำเร็จในการลดหนี้ภาครัฐ หลังจากที่ฟิทช์ได้ประกาศเลื่อนอันดับความน่าเชื่อถือให้อินโดนีเซียไปแล้วก่อนหน้านี้หลายสัปดาห์
นอกจากนี้ อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4 ปี 2011 ของจีนที่เติบโตในระดับ 8.9% สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ก่อนหน้าที่ 8.7% ขณะที่ก่อนหน้านี้ สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือสแตนดาร์ดแอนด์พัวร์หรือเอสแอนด์พี ได้ประกาศลดอันดับความเชื่อถือของประเทศฝรั่งเศสลง 1 ขั้นจาก AAA ซึ่งเป็นอันดับสูงสุด เหลือ AA+ นอกจากนี้ ยังลดอันดับความน่าเชื่อถือของอีก 8 ใน 17 ประเทศในยูโรโซน โดยลดเครดิตระยะยาวของไซปรัส อิตาลี โปรตุเกส และสเปนลงอีก 2 ขั้น โดยทั้งหมดมีแนวโน้มในเชิงลบ และปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของออสเตรีย มอลตา สโลวาเกีย และสโลวีเนียลง 1 ขั้น จากความกังวลว่ามาตรการของทางการยุโรปที่ใช้ในการรับมือกับวิกฤติหนี้อาจไม่เพียงพอที่จะแก้ไขปัญหาที่กำลังดำเนินอยู่ในยูโรโซน โดยสะท้อนถึงปัญหาวิกฤติหนี้ในยุโรปยังคงไม่คลี่คลาย ขณะที่การเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือของอินโดนีเซียรวมถึงปัจจัยการลงทุนอื่นๆ ได้สร้างบรรยากาศการลงทุนในเชิงบวก ตอกย้ำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อเศรษฐกิจเอเชียเพิ่มมากขึ้น และย่อมทำให้เงินลงทุนไหลกลับเข้าสู่ภูมิภาคเอเชียซึ่งนับเป็นจุดหมายการลงทุนที่มีความโดดเด่นเมื่อเปรียบเทียบกับภูมิภาคอื่นๆ
โดยสอดคล้องกับที่ไอเอ็นจี อินเวสท์เม้นท์ แมเนจเม้นท์ (ING Investment Management: INGIM) คาดการณ์อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2012 ของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วว่าจะเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป ท่ามกลางภาวะความไม่แน่นอนเกี่ยวกับปัญหาวิกฤติหนี้ของยุโรป แต่หากพิจารณาภาพรวมนับว่าเศรษฐกิจโดยรวมทรงตัวและกลุ่มประเทศในยูโรโซนจะขยายตัวในระดับที่ลดลง
ในขณะที่เศรษฐกิจเอเชียยังคงมีความแข็งแกร่งทั้งด้านฐานะการเงินและการคลังที่มั่นคง จากการที่มีปริมาณเงินสำรองระหว่างประเทศและการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดที่อยู่ในระดับสูง ดังนั้น นักลงทุนควรมองหาการลงทุนที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดี โดยแนะนำเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตราสารหนี้ของภูมิภาคเอเชียในรูปสกุลเงินท้องถิ่น เนื่องจากโครงสร้างทางการเงินที่ยังแข็งแกร่งเมื่อเปรียบเทียบกับยุโรปและสหรัฐฯ รวมถึงอัตราดอกเบี้ยและผลตอบแทนจากตราสารในกลุ่มประเทศเอเชียยังสูงกว่าตราสารในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว นับเป็นอีกโอกาสในการสร้างผลตอบแทนจากราคาตราสารหนี้ที่ปรับเพิ่มขึ้นภายใต้ภาวะดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มขาลง จากความพยายามในการกระตุ้นเศรษฐกิจของแต่ละประเทศอีกด้วยอีกทั้ง นอกจากนี้คาดการณ์ว่าสกุลเงินของกลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชียมีแนวโน้มที่จะแข็งค่าในอนาคตจากเงินทุนไหลเข้าของนักลงทุนต่างชาติ
ทางด้านนายอุดมการ อุดมทรัพย์ ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานธุรกิจสถาบัน ฝ่ายธุรกิจกองทุนและที่ปรึกษาการลงทุน บลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) กล่าวว่า จุดเด่นของกองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย เอเชี่ยน เดบท์ รีจินอล บอนด์ ปันผล นอกจากจะเน้นการลงทุนในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งมีความแข็งแกร่งและโดดเด่นทางด้านการขยายตัวทางเศรษฐกิจแล้ว กองทุนต้นทางบริหารจัดการโดยผู้จัดการกองทุนจาก ING Investment Management ซึ่งเป็นทีมบริหารการลงทุนระดับประเทศ ภูมิภาคและระดับโลกที่มีประสบการณ์การบริหารตราสารหนี้เอเชียมาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี 1998 และได้รับรางวัลการบริหารจัดการดีเด่นจากสถาบันชั้นนำระดับโลกจากกองทุนรวมตราสารหนี้ภายใต้การบริหารในปัจจุบัน
ขณะเดียวกันผลการดำเนินงานของกองทุน ING Asian Debt Local Bond Strategy ซึ่งเป็นกองทุนต้นแบบ สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีและสม่ำเสมอตลอดช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดยให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 ปีในระดับ 14.63% ต่อปี สูงกว่าผลตอบแทนเปรียบเทียบจากดัชนี HSBC’s Asian Local Bond Index (ALBI) ซึ่งอยู่ที่ 13.14% ต่อปี (ข้อมูล ณ 31 ตุลาคม 2011, ที่มา INGIM) ทั้งนี้ ทีมผู้จัดการกองทุนของกองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย เอเชี่ยน เดบท์ รีจินอล บอนด์ ปันผล นั้นเป็นทีมเดียวกับทีมที่รับผิดชอบบริหารจัดการลงทุนให้กับ ING Asian Debt Local Bond Strategy ที่ประสบความสำเร็จมาแล้วเช่นกัน