ASTVผู้จัดการรายวัน - บลจ.เอ็มเอฟซี ระบุตลาดหุ้นไทยครั้งปีแรกยังผันผวน ระวังแรงขายทำกำไร หลังดัชนีปรับขึ้นแล้วกว่า 25% ชี้ปัญหาหนี้ในยุโรป เป็นตัวแปรสำคัญ ลุ้นหากทุกอย่างคลี่คลายครึ่งปีแรก ดึงนักลงทุนโยกลุยสินทรัพย์เสี่ยงครึ่งปีหลัง คาดดัชนีไปถึง 1,130 จุด พร้อมฟันธง เอเชียยังเป็นดาวเด่น
นายชาคริต พีชพันธ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่องจากระดับต่ำสุดที่ 855 จุดในเดือนต.ค.ที่ผ่านมาถึงปัจจุบันเพิ่มขึ้นประมาณ 25-26% อาจทำให้มีแรงขายทำกำไรออกมาได้ในช่วงหลังจากนี้ แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าดัชนีไม่น่าหลุด 1,000 จุด และหากคาดหวังว่าการแก้ปัญหาหนี้ยุโรปจะดีขึ้นโอกาสที่หุ้นไทยจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 15-16% มีความเป็นได้ ประกอบกับอัตราเงินปันผลในระดับ 4% ก็มีส่วนช่วยให้ตลาดหุ้นได้รับความสนใจลงทุนเช่นกัน
ทั้งนี้ ในเดือนม.ค. 55 ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นไป 5.37% ซึ่งสามารถสร้างผลตอบแทนได้ใกล้เคียงกับตลาดหุ้นอื่นทั่วโลก แต่ยังต่ำกว่าตลาดเอเชียด้วยกัน ปัจจัยบวกจากตลาดคลายความกังวลปัญหนี้ในยุโรปที่มีความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาหนี้ ขณะที่กองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) ก็ไม่ได้เทขายมากอย่างที่คาดการณ์ไว้ รวมทั้งยังมี Fund Flow ยังไหลเข้ามาต่อเนื่อง
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในปี 2555 คาดว่าดัชนีจะอยู่ที่ระดับ 1,130 จุด โดยคาดว่ากำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนจะเติบโตอยู่ที่ระดับ 9-12% และอัตราการจ่ายเงินปันผลที่ 4% โดยในช่วงครึ่งปีแรกตลาดหุ้นไทยจะมีความผันผวนสูงจากปัญหาหนี้ในยุโรปที่ยังไม่คลี่คลาย แต่โดยรวมปัจจัยในประเทศยังคงแข็งแกร่ง แม้ในไตรมาส 4/2554 จะประสบปัญหาน้ำท่วม แต่เม็ดเงินที่เข้ามายังสนับสนุนหุ้นไทยได้
สำหรับปัจจัยเสี่ยงต่อตลาดหุ้นไทยนั้น นายชาคริตกล่าวว่า ปัจจัยต่างประเทศยังเป็นตัวแปรสำคัญต่อการลงทุนทั่วโลก โดยเฉพาะในยุโรปเอง ที่ต้องจับตาดูว่าแนวทางในการแก้ปัญหาหนี้จะเป็นไปในทิศทางใด ทั้งการต่ออายุพันธบัตรที่ครบอายุของอิตาลี และการเจรจาลดหนี้ของกรีซ รวมถึงความสำเร็จในการเพิ่มทุนของสถาบันการเงินในยุโรปด้วย นอกจากนี้เอง ยังมีมาตรการด้ายภาษีของสหรัฐ ที่ส่งเสริมให้นำเงินกำไรของบริษัทนอกสหรัฐกลับมาลงทุนในประเทศ ทั้งนี้ จากปัจจัยดังกล่าว จึงเชื่อว่าในช่วงครึ่งปีแรกตลาดหุ้นจะยังผันผวนมาก แต่หากปัจจัยลบเหล่านี้ คลี่คลายลงไป ก็จะทำให้ภาพการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง มีการโยกเงินมาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น
ส่วนปัจจัยที่จะมีส่วนสนับสนุนตลาดหุ้น คือมาตรการลงทุนของรัฐบาล ในการลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานเพื่อฟื้นฟูประเทศหลังประสบภัยน้ำท่วม รวมถึงการซ่อมแซม การลงทุนซื้อเครื่องจักรของภาคเอกชนด้วย
"ตลาดหุ้นไทยพีอี 11 เท่า ไม่ได้สูงมาก ถือเป็นจังหวะที่ลงทุนได้ แต่ในช่วงครึ่งปีแรก ต้องระมัดระวังพอสมควร ในเดือน ก.พ.-มี.ค.จะมีหนี้ที่ครบอายุในประเทศยุโรป ต้องติดตามว่าการประมูลพันธบัตรได้รับการตอบรับดีหรือไม่ ถ้ามีพรีเมียมมากก็แสดงว่าตลาดกังวล เราอาจจะเห็นรีบาวน์ มีการเคลื่อนย้ายทุนจากสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ ไปสู่สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง ในครึ่งปีหลัง" นายชาคริต กล่าว
ด้านนายสุทยุต ชื้อพานิช ผู้จัดการกองทุนอาวุโส ฝ่ายตราสารทุนต่างประเทศ ภาพรวมเศรษฐกิจโลกในปีนี้ยังขยายตัวมากกว่า 2% โดยเอเชียยังเป็นดาวเด่นและจีนยังขยายตัวได้มากกว่า 8% ในปีนี้และปีหน้า โดยปัญหาหนี้ยุโรปยังเป็นปัจจัยหลักที่กดดันการลงทุนทั่วโลก เนื่องจากประเทศในยุโรปต้องออกพันธบัตรรวมกันประมาณ 8 แสนล้านยูโรในปีนี้ เพื่อทดแทนพันธบัตรที่ครบอายุ ดังนั้นแนวโน้มตลาดหุ้นทั่วโลกในปีนี้จะผันผวน แกว่งตัวในขาขึ้น
“ในไตรมาสแรกนี้ประเทศในกลุ่มยุโรปมีการะการออกพันธบัตรใหม่เพื่อทดแทนพันธบัตรชุดเดิมที่ครบอายุวงเงินรวม 2.5 แสนล้านยูโร ซึ่งเป็นความเสี่ยงของตลาดและในไตรมาสสองก็ยังมีอีก ซึ่งหากการประมูลพันธบัตรออกมาแล้วไม่ได้รับผลตอบรับที่ดี ตลาดอาจจะถูกขายทำกำไรออกมาได้”นายสุทยุต กล่าว
อย่างไรก็ตาม แม้ปัญหาหนี้ยุโรปยังไม่จบแต่จากนโยบายหรือมาตรการที่ออกมาก็ช่วยทำให้นักลงทุนมั่นใจขึ้นและกลับเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น คาดว่าบรรยากาศการลงทุนที่ดีขึ้นจะส่งผลให้เม็ดเงินลงุทนกลับเข้ามาในตลาดในประเทสเศรษฐกิจเกิดใหมมากขึ้น ส่งผลให้ตลาดหุ้นในประเทศดังกล่าวที่มีมูลค่าพื้นฐานที่ถูกกลับมาเป็นที่สนใจของนักลงทุน โดยเฉพาะตลาดในกลุ่มบริค รวมถึงหุ้นไทย นอกจากนี้ทองคำยังเป็นอีกสินทรัพย์หนึ่งที่น่าสนใจลงทุนในปีนี้
นายชาคริต พีชพันธ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่องจากระดับต่ำสุดที่ 855 จุดในเดือนต.ค.ที่ผ่านมาถึงปัจจุบันเพิ่มขึ้นประมาณ 25-26% อาจทำให้มีแรงขายทำกำไรออกมาได้ในช่วงหลังจากนี้ แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าดัชนีไม่น่าหลุด 1,000 จุด และหากคาดหวังว่าการแก้ปัญหาหนี้ยุโรปจะดีขึ้นโอกาสที่หุ้นไทยจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 15-16% มีความเป็นได้ ประกอบกับอัตราเงินปันผลในระดับ 4% ก็มีส่วนช่วยให้ตลาดหุ้นได้รับความสนใจลงทุนเช่นกัน
ทั้งนี้ ในเดือนม.ค. 55 ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นไป 5.37% ซึ่งสามารถสร้างผลตอบแทนได้ใกล้เคียงกับตลาดหุ้นอื่นทั่วโลก แต่ยังต่ำกว่าตลาดเอเชียด้วยกัน ปัจจัยบวกจากตลาดคลายความกังวลปัญหนี้ในยุโรปที่มีความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาหนี้ ขณะที่กองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) ก็ไม่ได้เทขายมากอย่างที่คาดการณ์ไว้ รวมทั้งยังมี Fund Flow ยังไหลเข้ามาต่อเนื่อง
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในปี 2555 คาดว่าดัชนีจะอยู่ที่ระดับ 1,130 จุด โดยคาดว่ากำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนจะเติบโตอยู่ที่ระดับ 9-12% และอัตราการจ่ายเงินปันผลที่ 4% โดยในช่วงครึ่งปีแรกตลาดหุ้นไทยจะมีความผันผวนสูงจากปัญหาหนี้ในยุโรปที่ยังไม่คลี่คลาย แต่โดยรวมปัจจัยในประเทศยังคงแข็งแกร่ง แม้ในไตรมาส 4/2554 จะประสบปัญหาน้ำท่วม แต่เม็ดเงินที่เข้ามายังสนับสนุนหุ้นไทยได้
สำหรับปัจจัยเสี่ยงต่อตลาดหุ้นไทยนั้น นายชาคริตกล่าวว่า ปัจจัยต่างประเทศยังเป็นตัวแปรสำคัญต่อการลงทุนทั่วโลก โดยเฉพาะในยุโรปเอง ที่ต้องจับตาดูว่าแนวทางในการแก้ปัญหาหนี้จะเป็นไปในทิศทางใด ทั้งการต่ออายุพันธบัตรที่ครบอายุของอิตาลี และการเจรจาลดหนี้ของกรีซ รวมถึงความสำเร็จในการเพิ่มทุนของสถาบันการเงินในยุโรปด้วย นอกจากนี้เอง ยังมีมาตรการด้ายภาษีของสหรัฐ ที่ส่งเสริมให้นำเงินกำไรของบริษัทนอกสหรัฐกลับมาลงทุนในประเทศ ทั้งนี้ จากปัจจัยดังกล่าว จึงเชื่อว่าในช่วงครึ่งปีแรกตลาดหุ้นจะยังผันผวนมาก แต่หากปัจจัยลบเหล่านี้ คลี่คลายลงไป ก็จะทำให้ภาพการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง มีการโยกเงินมาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น
ส่วนปัจจัยที่จะมีส่วนสนับสนุนตลาดหุ้น คือมาตรการลงทุนของรัฐบาล ในการลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานเพื่อฟื้นฟูประเทศหลังประสบภัยน้ำท่วม รวมถึงการซ่อมแซม การลงทุนซื้อเครื่องจักรของภาคเอกชนด้วย
"ตลาดหุ้นไทยพีอี 11 เท่า ไม่ได้สูงมาก ถือเป็นจังหวะที่ลงทุนได้ แต่ในช่วงครึ่งปีแรก ต้องระมัดระวังพอสมควร ในเดือน ก.พ.-มี.ค.จะมีหนี้ที่ครบอายุในประเทศยุโรป ต้องติดตามว่าการประมูลพันธบัตรได้รับการตอบรับดีหรือไม่ ถ้ามีพรีเมียมมากก็แสดงว่าตลาดกังวล เราอาจจะเห็นรีบาวน์ มีการเคลื่อนย้ายทุนจากสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ ไปสู่สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง ในครึ่งปีหลัง" นายชาคริต กล่าว
ด้านนายสุทยุต ชื้อพานิช ผู้จัดการกองทุนอาวุโส ฝ่ายตราสารทุนต่างประเทศ ภาพรวมเศรษฐกิจโลกในปีนี้ยังขยายตัวมากกว่า 2% โดยเอเชียยังเป็นดาวเด่นและจีนยังขยายตัวได้มากกว่า 8% ในปีนี้และปีหน้า โดยปัญหาหนี้ยุโรปยังเป็นปัจจัยหลักที่กดดันการลงทุนทั่วโลก เนื่องจากประเทศในยุโรปต้องออกพันธบัตรรวมกันประมาณ 8 แสนล้านยูโรในปีนี้ เพื่อทดแทนพันธบัตรที่ครบอายุ ดังนั้นแนวโน้มตลาดหุ้นทั่วโลกในปีนี้จะผันผวน แกว่งตัวในขาขึ้น
“ในไตรมาสแรกนี้ประเทศในกลุ่มยุโรปมีการะการออกพันธบัตรใหม่เพื่อทดแทนพันธบัตรชุดเดิมที่ครบอายุวงเงินรวม 2.5 แสนล้านยูโร ซึ่งเป็นความเสี่ยงของตลาดและในไตรมาสสองก็ยังมีอีก ซึ่งหากการประมูลพันธบัตรออกมาแล้วไม่ได้รับผลตอบรับที่ดี ตลาดอาจจะถูกขายทำกำไรออกมาได้”นายสุทยุต กล่าว
อย่างไรก็ตาม แม้ปัญหาหนี้ยุโรปยังไม่จบแต่จากนโยบายหรือมาตรการที่ออกมาก็ช่วยทำให้นักลงทุนมั่นใจขึ้นและกลับเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น คาดว่าบรรยากาศการลงทุนที่ดีขึ้นจะส่งผลให้เม็ดเงินลงุทนกลับเข้ามาในตลาดในประเทสเศรษฐกิจเกิดใหมมากขึ้น ส่งผลให้ตลาดหุ้นในประเทศดังกล่าวที่มีมูลค่าพื้นฐานที่ถูกกลับมาเป็นที่สนใจของนักลงทุน โดยเฉพาะตลาดในกลุ่มบริค รวมถึงหุ้นไทย นอกจากนี้ทองคำยังเป็นอีกสินทรัพย์หนึ่งที่น่าสนใจลงทุนในปีนี้