บลจ.บัวหลวง ชี้ ทองคำยังมีปัจจัยพื้นฐานหนุนราคาเป็นแนวโน้มขาขึ้นระยะยาวชัดเจน ระบุ ยังไม่เกิดฟองสบู่ในทองคำ แนะเข้าลงทุนช่วงไตรมาสที่2 และรอขายในช่วงปลายปีที่ราคาทองจะปรับตัวขึ้น พร้อมแนะลงทุนทองในพอร์ต 5 - 10% ช่วยกระจายความเสี่ยง ด้าน “วายแอลจี” ให้กรอบการลงทุนในปีนี้ที่ 1,480 - 2,000 เหรียญฯ แต่หากมี QE-3 อาจเห็น 2,200 เหรียญฯ
นายพีระพงศ์ จิระเสวีจินดา รองกรรมการผู้จัดการ กลุ่มจัดการกองทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.)บัวหลวง กล่าวในงานสัมนาเรื่อง “ทองคำ...พื้นฐาน หรือฟองสบู่” ที่จัดขึ้นโดยบลจ.บัวหลวง ว่าด้วยพื้นฐานของทองคำในระยะยาวยังเป็นแนวโน้มขาขึ้นชัดเจนแม้ในระยะสั้นอาจจะมีความผันผวนบ้างก็ตาม แต่ปัจจัยบวกที่สำคัญ 5 ประการที่เป็นปัจจัยบวก ได้แก่ 1) เงินเฟ้อโลก 2) อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ยังต่ำ 3) ความต้องการลงทุนในทองคำของโลก 4) ความต้องการใช้ทองของภาคอุตสาหกรรม และ 5) ความต้องการบริโภคทองคำของอินเดียและจีน นอกจากนี้การที่สหรัฐประกาศคงดอกเบี้ยระดับต่ำ 0 - 0.25% ไปจนถึงสิ้นปี14 รวมทั้งพร้อมจะใช้นโยบายกระตุ้นแบบผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE-3) หากจำเป็นก็เป็นอีกปัจจัยบวกที่สำคัญต่อราคาทองคำด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตามในมุมมองที่จะเป็นปัจจัยลบต่อราคาทองคำและเป็นปัจจัยเสี่ยงก็คือการที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐและยูโรกลับมาแข็งค่า รวมทั้งการที่เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะเงินฝืดเช่นเดียวกับญี่ปุ่นจะไม่เป็นผลดีต่อราคาทองคำ แต่ปัจจุบันสหรัฐกลัวเงินฝืดมากและพอใจจะอัดฉีดเงินเข้ามาในระบบเพื่อให้เกิดเงินเฟ้อซึ่งนั่นย่อมจะส่งผลดีต่อราคาทองคำแน่นอน ดังนั้นราคาทองคำที่อ่อนตัวลงมาจึงเป็นเพียงแค่การปรับฐานของราคาเท่านั้น ไม่ใช่ภาวะฟองสบู่แต่ประการใด
ขณะที่ น.ส.ฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บจ.วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส กล่าวว่า บริษัทมองกรอบราคาทองในปี12 ไว้สูงสุดที่ 2,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ และต่ำสุดที่ 1,480 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ แต่ถ้ามีมาตรการ QE-3 ออกมาจะส่งผลให้เป้าหมายสูงสุดของทองคำขยับไปสู่ระดับ 2,200 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ได้เช่นกัน ซึ่งจะเห็นว่าราคาทองคำในปี12 นี้จะมีความผันผวนค่อนข้างมาก โอกาสในการทำกำไรก็มีมากเช่นเดียวกับโอกาสที่จะขาดทุนหากเข้าลงทุนผิดจังหวะ ดังนั้นนักลงทุนระยะยาวอาจจะทยอยซื้อสะสมในช่วงที่ราคาอยู่บริเวณกรอบล่างแล้วค่อยไปขายเมื่อเข้าใกล้เป้าหมาย ส่วนนักลงทุนลงทุนระยะสั้นก็ยังอาศัยความผันผวนของราคาทองคำในระยะสั้นเพื่อทำกำไรได้เช่นกัน
โดยปีที่แล้วจุดสูงสุดของทองคำอยู่ที่ 1,920 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ และต่ำสุด 1,300 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ในปีนี้เองมีสถาบันต่างชาติบางแห่งมองกรอบบนไว้ที่ 2,200 และกรอบล่าง 1,300 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ถือเป็นอีกปีที่ราคาทองคำจะมีความเหวี่ยงตัวค่อนข้างสูงเช่นกัน
นายคมสันต์ ปรมาภูติ รองผู้อำนวยการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.บัวหลวง กล่าวว่า บริษัทยังมั่นใจว่าแนวโน้มทองคำยังเป็นขาขึ้น โดยกรอบราคาในปีนี้ให้แนวรับไว้ที่ 1,600 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ และกรอบบนที่ 2,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ถ้าราคาหลุด 1,600 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ลงมาถือเป็นจังหวะที่ควรเข้าลงทุน เพราะระดับราคาบริเวณนี้เมื่อลงมาต่ำกว่ามักจะเห็นแรงซื้อกลับเข้ามาตลอด และหากมองจังหวะในการเข้าลงทุนก็เชื่อว่าในช่วงไตรมาสที่2/12 ซึ่งเป็นช่วงที่ราคาทองคำซบเซา (Low Season) นักลงทุนก้น่าจะมีโอกาสเข้าไปซื้อได้ แล้วค่อยไปหาจังหวะขายในช่วงปลายปีซึ่งปกติเป็นช่วงที่ราคาทองคำคึกคัก (High Season) เป็นปกติ โดยคาดว่าในช่วงไตรมาสที่3/12 ราคาทองคำก็น่าจะเริ่มขยับปรับตัวขึ้นได้อีกครั้ง ที่สำคัญในปลายปีนี้สหรัฐจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีใหม่ คงจะมีการประกาศแผนกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ออกมาอีกครั้ง ซึ่งน่าจะเป็นปัจจัยบวกต่อราคาทองคำด้วยเช่นกัน
นายวศิน วัฒนวรกิจกุล กรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจกองทุนรวม บลจ.บัวหลวง กล่าวว่า ทองคำยังเป็นสินทรัพย์ที่เหมาะกับการกระจายความเสี่ยงให้กับพอร์ตการลงทุนเพราะไม่มีความสัมพันธ์ในเชิงเส้นตรงกับหุ้นหรือตราสารหนี้ ซึ่งสัดส่วนที่เหมาะสมโดยทั่วไปก็ประมาณ 5 - 10% ของพอร์ตการลงทุน แต่นักลงทุนเองคงต้องดูความสามารถในการรับความเสี่ยงของตัวเองประกอบด้วยซึ่งอาจจะทำให้สามารถเพิ่มหรือลดน้ำหนักจากสัดส่วนดังกล่าวให้เหมาะสมกับตัวเองด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ควรจะมีการแบ่งเงินลงทุนในทองคำเป็น 3 ส่วน คือ 1) เงินลงทุน 2) เงินลงทุนระยะสั้น และ 3) เงินลงทุนระยะยาว ซึ่งจะทำให้นักลงทุนสามารถลงทุนในทองคำได้ในทุกสภาวะของตลาดทองคำที่เปลี่ยนแปลงไป
“ปัจจุบันนักลงทุนไทยยังมีการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงน้อยเกินไป และมองว่าทองคำถือเป้นอีกทางเลือกการลงทุนที่น่าสนใจที่จะมีไว้ในพอร์ทการลงทุนของนักลงทุน เพราะปัจจุบันนักลงทุนสถาบันอย่างกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเองก็เริ่มสนใจมองทองคำในฐานะที่เป็นสินทรัพย์การลงทุนอีกประเภทหนึ่งแล้วเช่นกัน นอกเหนือจากหุ้น พันธบัตร ตราสารหนี้” นายวศิน กล่าว
นายพีระพงศ์ จิระเสวีจินดา รองกรรมการผู้จัดการ กลุ่มจัดการกองทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.)บัวหลวง กล่าวในงานสัมนาเรื่อง “ทองคำ...พื้นฐาน หรือฟองสบู่” ที่จัดขึ้นโดยบลจ.บัวหลวง ว่าด้วยพื้นฐานของทองคำในระยะยาวยังเป็นแนวโน้มขาขึ้นชัดเจนแม้ในระยะสั้นอาจจะมีความผันผวนบ้างก็ตาม แต่ปัจจัยบวกที่สำคัญ 5 ประการที่เป็นปัจจัยบวก ได้แก่ 1) เงินเฟ้อโลก 2) อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ยังต่ำ 3) ความต้องการลงทุนในทองคำของโลก 4) ความต้องการใช้ทองของภาคอุตสาหกรรม และ 5) ความต้องการบริโภคทองคำของอินเดียและจีน นอกจากนี้การที่สหรัฐประกาศคงดอกเบี้ยระดับต่ำ 0 - 0.25% ไปจนถึงสิ้นปี14 รวมทั้งพร้อมจะใช้นโยบายกระตุ้นแบบผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE-3) หากจำเป็นก็เป็นอีกปัจจัยบวกที่สำคัญต่อราคาทองคำด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตามในมุมมองที่จะเป็นปัจจัยลบต่อราคาทองคำและเป็นปัจจัยเสี่ยงก็คือการที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐและยูโรกลับมาแข็งค่า รวมทั้งการที่เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะเงินฝืดเช่นเดียวกับญี่ปุ่นจะไม่เป็นผลดีต่อราคาทองคำ แต่ปัจจุบันสหรัฐกลัวเงินฝืดมากและพอใจจะอัดฉีดเงินเข้ามาในระบบเพื่อให้เกิดเงินเฟ้อซึ่งนั่นย่อมจะส่งผลดีต่อราคาทองคำแน่นอน ดังนั้นราคาทองคำที่อ่อนตัวลงมาจึงเป็นเพียงแค่การปรับฐานของราคาเท่านั้น ไม่ใช่ภาวะฟองสบู่แต่ประการใด
ขณะที่ น.ส.ฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บจ.วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส กล่าวว่า บริษัทมองกรอบราคาทองในปี12 ไว้สูงสุดที่ 2,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ และต่ำสุดที่ 1,480 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ แต่ถ้ามีมาตรการ QE-3 ออกมาจะส่งผลให้เป้าหมายสูงสุดของทองคำขยับไปสู่ระดับ 2,200 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ได้เช่นกัน ซึ่งจะเห็นว่าราคาทองคำในปี12 นี้จะมีความผันผวนค่อนข้างมาก โอกาสในการทำกำไรก็มีมากเช่นเดียวกับโอกาสที่จะขาดทุนหากเข้าลงทุนผิดจังหวะ ดังนั้นนักลงทุนระยะยาวอาจจะทยอยซื้อสะสมในช่วงที่ราคาอยู่บริเวณกรอบล่างแล้วค่อยไปขายเมื่อเข้าใกล้เป้าหมาย ส่วนนักลงทุนลงทุนระยะสั้นก็ยังอาศัยความผันผวนของราคาทองคำในระยะสั้นเพื่อทำกำไรได้เช่นกัน
โดยปีที่แล้วจุดสูงสุดของทองคำอยู่ที่ 1,920 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ และต่ำสุด 1,300 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ในปีนี้เองมีสถาบันต่างชาติบางแห่งมองกรอบบนไว้ที่ 2,200 และกรอบล่าง 1,300 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ถือเป็นอีกปีที่ราคาทองคำจะมีความเหวี่ยงตัวค่อนข้างสูงเช่นกัน
นายคมสันต์ ปรมาภูติ รองผู้อำนวยการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.บัวหลวง กล่าวว่า บริษัทยังมั่นใจว่าแนวโน้มทองคำยังเป็นขาขึ้น โดยกรอบราคาในปีนี้ให้แนวรับไว้ที่ 1,600 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ และกรอบบนที่ 2,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ถ้าราคาหลุด 1,600 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ลงมาถือเป็นจังหวะที่ควรเข้าลงทุน เพราะระดับราคาบริเวณนี้เมื่อลงมาต่ำกว่ามักจะเห็นแรงซื้อกลับเข้ามาตลอด และหากมองจังหวะในการเข้าลงทุนก็เชื่อว่าในช่วงไตรมาสที่2/12 ซึ่งเป็นช่วงที่ราคาทองคำซบเซา (Low Season) นักลงทุนก้น่าจะมีโอกาสเข้าไปซื้อได้ แล้วค่อยไปหาจังหวะขายในช่วงปลายปีซึ่งปกติเป็นช่วงที่ราคาทองคำคึกคัก (High Season) เป็นปกติ โดยคาดว่าในช่วงไตรมาสที่3/12 ราคาทองคำก็น่าจะเริ่มขยับปรับตัวขึ้นได้อีกครั้ง ที่สำคัญในปลายปีนี้สหรัฐจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีใหม่ คงจะมีการประกาศแผนกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ออกมาอีกครั้ง ซึ่งน่าจะเป็นปัจจัยบวกต่อราคาทองคำด้วยเช่นกัน
นายวศิน วัฒนวรกิจกุล กรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจกองทุนรวม บลจ.บัวหลวง กล่าวว่า ทองคำยังเป็นสินทรัพย์ที่เหมาะกับการกระจายความเสี่ยงให้กับพอร์ตการลงทุนเพราะไม่มีความสัมพันธ์ในเชิงเส้นตรงกับหุ้นหรือตราสารหนี้ ซึ่งสัดส่วนที่เหมาะสมโดยทั่วไปก็ประมาณ 5 - 10% ของพอร์ตการลงทุน แต่นักลงทุนเองคงต้องดูความสามารถในการรับความเสี่ยงของตัวเองประกอบด้วยซึ่งอาจจะทำให้สามารถเพิ่มหรือลดน้ำหนักจากสัดส่วนดังกล่าวให้เหมาะสมกับตัวเองด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ควรจะมีการแบ่งเงินลงทุนในทองคำเป็น 3 ส่วน คือ 1) เงินลงทุน 2) เงินลงทุนระยะสั้น และ 3) เงินลงทุนระยะยาว ซึ่งจะทำให้นักลงทุนสามารถลงทุนในทองคำได้ในทุกสภาวะของตลาดทองคำที่เปลี่ยนแปลงไป
“ปัจจุบันนักลงทุนไทยยังมีการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงน้อยเกินไป และมองว่าทองคำถือเป้นอีกทางเลือกการลงทุนที่น่าสนใจที่จะมีไว้ในพอร์ทการลงทุนของนักลงทุน เพราะปัจจุบันนักลงทุนสถาบันอย่างกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเองก็เริ่มสนใจมองทองคำในฐานะที่เป็นสินทรัพย์การลงทุนอีกประเภทหนึ่งแล้วเช่นกัน นอกเหนือจากหุ้น พันธบัตร ตราสารหนี้” นายวศิน กล่าว