xs
xsm
sm
md
lg

สัปดาห์สุดท้ายกับการลงทุนLTF-RMF ลดหย่อนภาษีรับลุ้นรีเทิร์นหุ้นระยะยาว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เข้าสู่ช่วงสัปดาห์สุดท้ายก่อนที่จะสิ้นปี 2554 และไปสู่ปีใหม่ 2555 ช่วงนี้ก็เป็นช่วงเวลาที่เหลือสำหรับใครหลายคนที่ยังไม้ได้ซื้อกองทุน LTF -RMF เพื่อใช้สิทธิในการลดหย่อนภาษี โดยมีหลาย บลจ. ที่ระดมการแข่งขันกันอย่างดุเดือดเพื่อแย่งชิงลูกค้า ทั้งการแจกของแถมต่างๆมากมายเหมือนในปีก่อนๆที่ผ่านมา แต่ในปีนี้ยกระดับการแข่งขันขึ้นไปอีกด้วยการออกโปรโมชั่นใหม่เข้ามาดึงดูดกันมากขึ้นไปคือ "การคืนเงินสด" ทันทีแก่ผู้มาลงทุน รวมไปถึงการสับเปลี่ยนกองทุนจาก บลจ.อื่นด้วยเช่นกัน และยังมีกลยุทธ์การใช้บัตรเครดิตเพื่อกู้ยืมไปซื้อกองทุนรวม ซึ่งก็มีคำเตือนออกมาจากทางสมาคมจัดการลงทุนในเรื่องนี้ด้วย ขณะเดียวกันดูเหมือนว่าการเข้าซื้อกองทุนเพื่อลดหย่อนภาษีในปีนี้มีประเด็นที่ทำให้ลูกค้ายังไม่ค่อยกล้าซื้อเท่าไร นั่นคือดัชนีตลาดหุ้นได้ปรับตัวขึ้นไปมากในช่วงปลายปีนี้ ส่งผลให้นักลงทุนลังเลดูจังหวะกันอยู่พอสมควร แต่อย่างไรก็ตามเพื่อใช้สิทธิในเรื่องของลดหย่อนภาษีแล้ว คงหนีไม่พ้นที่จะต้องเข้าซื้อในอีกไม่กี่วันที่เหลือนี้

แม้ดัชนีหุ้นปรับตัวขึ้นไปมากระดับนี้ แต่เชื่อว่านักลงทุนหลายคนได้ทยอยลงทุนมาตั้งแต่ในช่วงก่อนหน้านี้แล้ว อย่างไรก็ตามดัชนีที่ปรับขึ้นสูงในขณะนี้ในระยะยาวแล้วน่าจะให้ผลตอบแทนที่ดี รายงานจาก**บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี จำกัด** ได้ให้ข้อมูลที่น่าสนใจแก่นักลงทุนว่า ตามสถิติตลาดหุ้นไทยในเดือนสุดท้ายของปีจะให้ผลตอบแทนเป็นบวกโดยเฉลี่ยร้อยละ 2.6 นับจากปี 2518 (เริ่มตั้งดัชนี) และเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 3.3 ถ้านับตั้งแต่ปี 2547 (เริ่มมีกองทุน LTF) เป็นต้นมา ผลดังกล่าวคาดว่าจะมีสาเหตุหลักๆ 3 ประการ ได้แก่ 1.) เม็ดเงินการซื้อกองทุน LTF จะสูงสุดในเดือนธันวาคม 2.) การปรับพอร์ตการลงทุนสำหรับปิดสิ้นปีปฎิทิน และ 3.) การลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติจะเบาบางมาก

โดยเฉพาะช่วงครึ่งหลังของเดือน ทำให้ปัจจัยภายนอกส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยน้อย แต่ในช่วงระยะกลางจากนี้ ตลาดหุ้นไทยยังคงมีความเสี่ยงจากความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก รวมถึงการแก้ปัญหาหนี้สาธารณะของกลุ่มประเทศยุโรป และการปรับลดคาดการณ์ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนไทยจากผลของน้ำท่วมและเศรษฐกิจโลกชะลอตัว

ทั้งนี้ผลกระทบจากเหตุน้ำท่วมครั้งรุนแรงที่สุด ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในประเทศหดตัวอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะภาคการบริโภค การลงทุนและการส่งออก เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ แต่ยังคงคาดว่า GDP จะกลับมาเติบโต ระดับ 3.5-4.5% ในปี 2555 อย่างไรก็ดีนักลงทุนคาดการณ์แล้วว่า ต้องมีการปรับอัตราการเติบโตของผลกำไรของบริษัทในปีหน้าลงและน่าจะเติบโตได้มากกว่าร้อยละ 10 ซึ่งอาจจะมีมาตราการลดภาษีรายได้นิติบุคคลเข้ามาเสริมซึ่งก็ต้องรอคณะรัฐมนตรีอนุมัติอย่างเป็นทางการ

ขณะเดียวกันหากพิจารณาเป็นรายอุตสาหกรรมแล้ว บลจ.ยูโอบี ให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มต่างๆได่แก่

- ธนาคาร :ได้ให้น้ำหนักเท่ากับดัชนี เพราะ ระดับราคาของหุ้นในกลุ่มไม่แพงและได้ปรับตัวรับรู้ผลกระทบของน้ำท่วมไปในระดับหนึ่งแล้ว
- พาณิชย์:ได้ให้น้ำหนักมากกว่าหรือเท่ากับดัชนี เพราะคาดการณ์ผลการดำเนินงานในปี 2555 ยังคงเติบโตได้ดี แต่ระดับราคาหลักทรัพย์อยู่ในระดับที่สูง
**- อาหาร:ได้ให้น้ำหนักมากกว่าเท่าดัชนี** เพราะ กลุ่มที่มีความผันผวนต่ำ และมีการเติบโตของรายได้ในปี 2555
- อสังหาริมทรัพย์:ได้ให้น้ำหนักมากกว่าดัชนี เพราะได้รับผลประโยชน์จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงและระดับราคาที่น่าสนใจ
- พลังงาน:ได้ให้น้ำหนักเท่ากับหรือต่ำกว่าดัชนี เพราะระดับราคาน้ำมัน และส่วนต่างราคาของผลิตภัณฑ์จะยังคงถูกกดดันจากแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจจีน

ดังนั้นจากข้อมูลดังกล่าวจะเห็นได้ว่า ถึงแม้การลงทุนใน LTF RMF ใน ช่วงปลายปีนี้จะมีแนวโน้มที่จะลงทุนในราคาต้นทุนที่สูงแต่เนื่องจากวัตถุประสงค์การลงทุนคือการลงทุนระยะยาว ฉะนั้นนอกจากลูกค้าจะได้ผลประโยชน์ทางด้านภาษีแล้ว เราควรจะพิจารณาถึงเศรษฐกิจในภาพรวม ประกอบกับการเลือกลงทุนในบริษัทจดทะเบียนที่มีคุณภาพปัจจัยพื้นฐานด้วย

นั่นเป็นมุมมองจาก บลจ. ยูโอบี ในเรื่องแนวโน้มของหุ้นที่ดีในระยะยาว ที่ทำให้นักลงทุนยังมั่นใจกันได้ แต่ในอีกประการที่กำลังมีการพูดถึงคือการซื้อกองทุน LTF - RMF หรือกองทุนรวมอื่นๆโดยใช้"บัตรเครดิต" ซึ่งเป็นเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นและมาพร้อมกับการแข่งขันกันอย่างดุเดือดในอุตสาหกรรมกองทุนรวมในขณะนี้ เรื่องนี้ วรวรรณ ธาราภูมิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.บัวหลวง และนายกสมาคมบริษัทจัดการกองทุน ออกมาส่งเสียงเตือนนักลงทุนว่า "อย่ากู้เงินมาลงทุน.!!!" เพราะมีความเสี่ยงที่จะขาดทุนแม้จะมีผู้แนะนำว่าหากหุ้นขึ้นแล้วได้กำไรคุ้มดอกเบี้ยอย่างแน่นอน แต่ที่จริงแล้วจะไม่มีใครสามารถยืนยันได้ว่าการกู้ยืมเงินมาลงทุนในกองทุนรวมจะทำให้เราได้กำไร...

สำหรับการใช้บัตรเครดิตนั้นก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียสำหรับผู้ที่รู้จักใช้ แต่ที่ควรจะนึกถึงคือ การลงทุนมีความเสี่ยงหากจะใช้บัตรเครดิตเข้ามาซื้อกองทุนรวมแล้ว ยิ่งควรต้องระวังให้มากไม่งั้นแล้วอาจส่งผลเสียอย่างแน่นอน...

นอกจากนี้ในเรื่องของการลงทุนที่ถูกต้องนั้นการลงทุนในกองทุนรวมที่มีผู้จัดการกองทุนคอยบริหารอยู่นั้น ผู้จัดการกองทุนส่วนใหญ่ ก็พยายามที่จะแนะนำการลงทุนด้วยการทยอยลงทุนอย่างต่อเนื่องและให้เป็นการลงทุนในระยะยาว ขณะเดียวกันก็พยายามออกกองทุนที่ใหม่ๆในจังหวะที่น่าสนใจ แต่อย่างไรก็ตามก็คงหนีไม่พ้นในเรื่องของการแข่งขันที่สูงอยู่ โดยเฉพาะ บลจ.ที่มีแบงก์เป็นผู้ดันอยู่ข้างหลังเพื่อดันยอดลงทุนให้มากด้วยการลดแลกแจกแถมมากมาย ยิ่งในปีหน้าที่ สถาบันคุ้มครองเงินฝากจะคุ้มครองเงินฝากไม่เกิน 1 ล้านบาท ยิ่งทำให้เงินมีมากขึ้นในระบบจึงยิ่งมีการแข่งขันมากขึ้นอีกทั้งกับ ธนาคารและธุรกิจประกัน นั่นยิ่งทำให้ผู้ลงทุนจึงต้องพิจารณาเลือกการลงทุนมากขึ้นด้วยเช่นกัน.....
กำลังโหลดความคิดเห็น