จากการที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจโลกปีนี้ลงจากเดิมร้อยละ 0.7 มาอยู่ที่ร้อยละ 3.3 โดยระบุว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกจากวิกฤตแฮมเบอเกอร์ ยังคงถูกฉุดรั้งจากปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรปรวมไปถึงเศรษฐกิจในภูมิภาคอื่นๆ ที่ยังคงเปราะบาง ไอเอ็มเอฟ ได้คาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐปีนี้ไว้ที่ร้อยละ 1.8 ตามเดิม แต่ปรับลดตัวเลขการเติบโตของยูโรโซนลงจากร้อยละ 1.6 มาเป็นติดลบร้อยละ 0.5 เช่นเดียวกับญี่ปุ่นที่ถูกปรับลดลงเหลือร้อยละ 1.7 จากเดิมอยู่ที่ร้อยละ 2.3 ด้านประเทศจีนถูกปรับลดการเติบโตทางเศรษฐกิจลงจากร้อยละ 9.0 มาอยู่ที่ร้อยละ 8.2 ส่วนในปีหน้า ไอเอฟเอ็ม คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวได้ประมาณร้อยละ 3.9 ลดลงเล็กน้อยจากตัวเลขประมาณการเดิม
ล่าสุด ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจในปีนี้ลงเหลือ 2.2-2.7% ซึ่งต่ำกว่าที่เคยคาดคะเนไว้ก่อนหน้านี้ โดยในปี 2013 เฟดมองว่าจะมีการขยายตัวขึ้นเล็กน้อยที่ 2.8-3.2% และเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 3.3% ในปี 2014 โดยอ้างถึงการลงทุนในภาคธุรกิจที่ชะลอตัว และภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ยังตกต่ำ จนน่าจะต้องคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่เกือบ 0% ต่อไปอีก 3 ปี ซึ่งแม้ว่าเศรษฐกิจจะมีการปรับตัวขึ้นในปลายปีที่ผ่านมา แต่คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน ได้ชี้ว่า ความอ่อนของเศรษฐกิจที่ยังมีอยู่ และความตึงเครียดในตลาดการเงินโลกบีบให้ต้องดำเนินนโยการการเงินผ่อนคลายต่อไป
ปัญหาหนี้ยุโรปดูเหมือนว่ายิ่งแก้ยิ่งเจอปัญหาและยังหาทางออกที่ดีไม่ได้เท่าที่ควรทำให้ปัญหายังลากยาวต่อไปเรื่อยๆ เนื่องจากในยูโรโซนมีหลายประเทศปัญหาของแต่ละประเทศก็รุนแรงไม่เท่ากัน การแก้ปัญหาต่างๆการหาทางออกของปัญหาจึงทำได้อย่างไม่มีเสถียรภาพนัก แต่ถึงอย่างไรก็ต้องดำเนินการแก้ต่อไป ซึ่งประเทศที่มีปัญหารุนแรงอย่างกรีซนั้น ยังมีอาการที่น่าเป็นห่วงอย่างมาก รวมไปถึงประเทศอิตาลี และสเปน ที่กำลังจะครบกำหนดการชำระหนี้ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ ซึ่งเป็นที่น่าจับตามองกันว่าหากมีการผิดนัดชำระหนี้เกิดขึ้นจะส่งผลออกมาอย่างไรบ้าง
สัญญาณที่ไม่ดีได้ส่งออกมาให้เห็นแล้วก่อนหน้านี้คือการที่ ฝรั่งเศสและอีก 8 ชาติในกลุ่มเงินสกุลยูโร ได้ถูกสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือในการชำระหนี้ โดยฝรั่งเศสซึ่งเป็นชาติเศรษฐกิจขนาดใหญ่อันดับ 2 ของยุโรปถูกปรับลงจาก AAA มาอยู่ที่ AA+ ขณะที่ ประเทศเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 1 ในยุโรป อย่างเยอรมนีรอดพ้นจากการถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือไปได้ นอกจากนี้ปัญหาการว่างงานในยูโรโซนก็ยังเพิ่มสูงขึ้น จึงเป็นความยากลำบากสำหรับยุโรปในการแก้ปัญหานี้ ดังนั้นสิ่งที่ต้องจับตามองกันต่อมาก็คือ "จะมีปัญหาส่งผลมาถึงภูมิภาคเอเชียและตลาดเกิดใหม่อย่างไรบ้าง"
ภูมิภาคเอเชียที่ยังมีความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจยังเป็นที่น่าสนใจของโลกในช่วงนที่ยุโรปและสหรัฐฯอ่อนแอ แต่ก็ได้รับผลพวงจากปัญหาเศรษฐกิจโลกเช่นกัน จะเห็นได้ว่าเงินทุนส่วนใหญ่ของโลกไหลมาลงทุนตลาดเอเชียและตลาดเกิดใหม่อย่างมากและต่อเนื่อง ซึ่งในปีนี้ยังมีแนวโน้มที่ตลาดเอเชียจะน่าลงทุนอยู่ โดยเฉพาะประเทศจีนที่ยังเป็นเศรษฐกิจหลักของเอเชีย ซึ่งล่าสุด IMF คาดว่า เศรษฐกิจจีนจะเติบโตได้ในระดับ 8.2% ขณะที่แนวโน้มเงินเฟ้อที่ลดลงล่าสุดอัตราเงินเฟ้อของจีนอยู่ที่ระดับ 4.1% ซึ่งใกล้เคียงกับกรอบเงินเฟ้อของทางการจีนที่ 4% จึงมีโอกาสค่อนข้างสูงที่ธนาคารกลางจีนจะดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งผลต่อการลงทุนในตลาดหุ้นเอเชีย แม้ว่าเศรษฐกิจจีนยังมีปัญหาเรื่องฟองสบู่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์
ซึ่งจากแนวโน้มการใช้นโยบายทางการเงินที่ผ่อนคลายของธนาคารกลางในหลายประเทศรวมทั้งไทยด้วยนั้น นางสาววรสินี สังวรเวชภัณฑ์ หัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาการจัดการลงทุน บลจ. ทิสโก้ จำกัด ระบุว่า จะส่งให้ทำให้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยในช่วงต่อจากนี้อยู่ในช่วงขาลงซึ่งการลงทุนในตราสารหนี้ (Fixed Income) รวมถึงการเงินฝากอาจจะให้ผลตอบแทนที่ไม่จูงใจเท่าที่ควร ผู้ลงทุนควรให้น้ำหนักไปที่การลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง ได้แก่ หุ้นและทองคำ
พอร์ตการลงทุนที่แนะนำในปีนี้ คือ ลงทุนในหุ้นภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ยกเว้นญี่ปุ่น) ในสัดส่วน 20% หุ้นจีน 20% สินทรัพย์สภาพคล่องเงินฝาก พันธบัตรระยะสั้น 20% สินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำ เช่น ตั๋วบีอี 20% ทองคำ 10% หุ้นไทย 10%
การลงทุนในหุ้นนั้น แนะนำให้ลงทุนในตลาดหุ้นจีนเป็นหลักเนื่องจากภาพรวมของเศรษฐกิจจีนยังคงมีการขยายตัวอย่างแข็งแกร่งประกอบกับตลาดหุ้นจีน เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นต่าง ๆ ทั่วโลกแล้วถือว่าเป็นตลาดที่ถูกที่สุดและมี Upside สูงที่สุดมากกว่า 50% โดยคาดว่าP/E ตลาดหุ้นจีนปีนี้จะปรับตัวสูงขึ้นจากประมาณ 8 เท่ามาอยู่ที่ระดับมากกว่า 12 เท่า
ส่วนการลงทุนในทองคำ ก็เป็นทางเลือกที่ดี เนื่องจากความต้องการทองคำในตลาดยังคงมีอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะจากธนาคารกลางในประเทศต่าง ๆที่หันการถือครองเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ มาเป็นทองคำ เพื่อใช้เป็นทุนสำรองอีกทั้งทองคำยังมีคุณสมบัติที่ดีคือช่วยลดความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวม
การลงทุนในปีนี้ยังมีปัจจัยที่ดีและเรื่องที่ต้องระวังอยู่พอสมควร เศรษฐกิจเอเชียที่ยังคงเดินหน้าต่อไปได้ รวมทั้งยังมีสินทรัพย์ที่น่าสนใจอย่างทองคำก็ที่ให้ผลตอบแทนดี ดังนั้นการจัดพอร์ตการลงทุนที่ระมัดระวังและเหมะสมกับความเสี่ยงที่ตนเองรับได้จึงเป็นเรื่องที่ควรให้ความสำคัญ ในห้วงเวลานี้
ล่าสุด ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจในปีนี้ลงเหลือ 2.2-2.7% ซึ่งต่ำกว่าที่เคยคาดคะเนไว้ก่อนหน้านี้ โดยในปี 2013 เฟดมองว่าจะมีการขยายตัวขึ้นเล็กน้อยที่ 2.8-3.2% และเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 3.3% ในปี 2014 โดยอ้างถึงการลงทุนในภาคธุรกิจที่ชะลอตัว และภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ยังตกต่ำ จนน่าจะต้องคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่เกือบ 0% ต่อไปอีก 3 ปี ซึ่งแม้ว่าเศรษฐกิจจะมีการปรับตัวขึ้นในปลายปีที่ผ่านมา แต่คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน ได้ชี้ว่า ความอ่อนของเศรษฐกิจที่ยังมีอยู่ และความตึงเครียดในตลาดการเงินโลกบีบให้ต้องดำเนินนโยการการเงินผ่อนคลายต่อไป
ปัญหาหนี้ยุโรปดูเหมือนว่ายิ่งแก้ยิ่งเจอปัญหาและยังหาทางออกที่ดีไม่ได้เท่าที่ควรทำให้ปัญหายังลากยาวต่อไปเรื่อยๆ เนื่องจากในยูโรโซนมีหลายประเทศปัญหาของแต่ละประเทศก็รุนแรงไม่เท่ากัน การแก้ปัญหาต่างๆการหาทางออกของปัญหาจึงทำได้อย่างไม่มีเสถียรภาพนัก แต่ถึงอย่างไรก็ต้องดำเนินการแก้ต่อไป ซึ่งประเทศที่มีปัญหารุนแรงอย่างกรีซนั้น ยังมีอาการที่น่าเป็นห่วงอย่างมาก รวมไปถึงประเทศอิตาลี และสเปน ที่กำลังจะครบกำหนดการชำระหนี้ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ ซึ่งเป็นที่น่าจับตามองกันว่าหากมีการผิดนัดชำระหนี้เกิดขึ้นจะส่งผลออกมาอย่างไรบ้าง
สัญญาณที่ไม่ดีได้ส่งออกมาให้เห็นแล้วก่อนหน้านี้คือการที่ ฝรั่งเศสและอีก 8 ชาติในกลุ่มเงินสกุลยูโร ได้ถูกสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือในการชำระหนี้ โดยฝรั่งเศสซึ่งเป็นชาติเศรษฐกิจขนาดใหญ่อันดับ 2 ของยุโรปถูกปรับลงจาก AAA มาอยู่ที่ AA+ ขณะที่ ประเทศเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 1 ในยุโรป อย่างเยอรมนีรอดพ้นจากการถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือไปได้ นอกจากนี้ปัญหาการว่างงานในยูโรโซนก็ยังเพิ่มสูงขึ้น จึงเป็นความยากลำบากสำหรับยุโรปในการแก้ปัญหานี้ ดังนั้นสิ่งที่ต้องจับตามองกันต่อมาก็คือ "จะมีปัญหาส่งผลมาถึงภูมิภาคเอเชียและตลาดเกิดใหม่อย่างไรบ้าง"
ภูมิภาคเอเชียที่ยังมีความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจยังเป็นที่น่าสนใจของโลกในช่วงนที่ยุโรปและสหรัฐฯอ่อนแอ แต่ก็ได้รับผลพวงจากปัญหาเศรษฐกิจโลกเช่นกัน จะเห็นได้ว่าเงินทุนส่วนใหญ่ของโลกไหลมาลงทุนตลาดเอเชียและตลาดเกิดใหม่อย่างมากและต่อเนื่อง ซึ่งในปีนี้ยังมีแนวโน้มที่ตลาดเอเชียจะน่าลงทุนอยู่ โดยเฉพาะประเทศจีนที่ยังเป็นเศรษฐกิจหลักของเอเชีย ซึ่งล่าสุด IMF คาดว่า เศรษฐกิจจีนจะเติบโตได้ในระดับ 8.2% ขณะที่แนวโน้มเงินเฟ้อที่ลดลงล่าสุดอัตราเงินเฟ้อของจีนอยู่ที่ระดับ 4.1% ซึ่งใกล้เคียงกับกรอบเงินเฟ้อของทางการจีนที่ 4% จึงมีโอกาสค่อนข้างสูงที่ธนาคารกลางจีนจะดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งผลต่อการลงทุนในตลาดหุ้นเอเชีย แม้ว่าเศรษฐกิจจีนยังมีปัญหาเรื่องฟองสบู่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์
ซึ่งจากแนวโน้มการใช้นโยบายทางการเงินที่ผ่อนคลายของธนาคารกลางในหลายประเทศรวมทั้งไทยด้วยนั้น นางสาววรสินี สังวรเวชภัณฑ์ หัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาการจัดการลงทุน บลจ. ทิสโก้ จำกัด ระบุว่า จะส่งให้ทำให้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยในช่วงต่อจากนี้อยู่ในช่วงขาลงซึ่งการลงทุนในตราสารหนี้ (Fixed Income) รวมถึงการเงินฝากอาจจะให้ผลตอบแทนที่ไม่จูงใจเท่าที่ควร ผู้ลงทุนควรให้น้ำหนักไปที่การลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง ได้แก่ หุ้นและทองคำ
พอร์ตการลงทุนที่แนะนำในปีนี้ คือ ลงทุนในหุ้นภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ยกเว้นญี่ปุ่น) ในสัดส่วน 20% หุ้นจีน 20% สินทรัพย์สภาพคล่องเงินฝาก พันธบัตรระยะสั้น 20% สินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำ เช่น ตั๋วบีอี 20% ทองคำ 10% หุ้นไทย 10%
การลงทุนในหุ้นนั้น แนะนำให้ลงทุนในตลาดหุ้นจีนเป็นหลักเนื่องจากภาพรวมของเศรษฐกิจจีนยังคงมีการขยายตัวอย่างแข็งแกร่งประกอบกับตลาดหุ้นจีน เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นต่าง ๆ ทั่วโลกแล้วถือว่าเป็นตลาดที่ถูกที่สุดและมี Upside สูงที่สุดมากกว่า 50% โดยคาดว่าP/E ตลาดหุ้นจีนปีนี้จะปรับตัวสูงขึ้นจากประมาณ 8 เท่ามาอยู่ที่ระดับมากกว่า 12 เท่า
ส่วนการลงทุนในทองคำ ก็เป็นทางเลือกที่ดี เนื่องจากความต้องการทองคำในตลาดยังคงมีอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะจากธนาคารกลางในประเทศต่าง ๆที่หันการถือครองเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ มาเป็นทองคำ เพื่อใช้เป็นทุนสำรองอีกทั้งทองคำยังมีคุณสมบัติที่ดีคือช่วยลดความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวม
การลงทุนในปีนี้ยังมีปัจจัยที่ดีและเรื่องที่ต้องระวังอยู่พอสมควร เศรษฐกิจเอเชียที่ยังคงเดินหน้าต่อไปได้ รวมทั้งยังมีสินทรัพย์ที่น่าสนใจอย่างทองคำก็ที่ให้ผลตอบแทนดี ดังนั้นการจัดพอร์ตการลงทุนที่ระมัดระวังและเหมะสมกับความเสี่ยงที่ตนเองรับได้จึงเป็นเรื่องที่ควรให้ความสำคัญ ในห้วงเวลานี้