หุ้นไทยรับข่าวดีหนี้ยุโรป สถาบัน-ต่างชาติ-พอร์ตโบกรฯแห่ซื้อดันดัชนีพุ่ง 51 จุด บล.ภัทร หั่นเป้าทั้งปีเหลือ 920 จุด “ศุภวุฒิ” ห่วงปัญหาหนี้เสียของจีนเป็นชนวนก่อวิกฤตในภูมิภาคเอเชีย พร้อมมองกรีซในธันวาคม มีโอกาสสูงต่อการล่มสลาย ส่วนไทยต้องระวังด้านการส่งออก คาด วันนี้มีโอกาสไปต่อ
ดัชนีหุ้นไทยวานนี้ (6 ต.ค.) ปรับตัวแรงในแดนบวกตลอดวัน โดยปิดที่ระดับ ระดับ 913.72 จุด เพิ่มขึ้น 51.07 จุด (+5.92%) มูลค่าการซื้อขาย 33,345.78 ล้านบาท หลังมีข่าวดีเรื่องหนี้ยุโรปและแรงซื้อจากนักลงทุนต่างชาติ 989.99 ล้านบาท สถาบัน 1,979.72 ล้านบาท และบัญชี บล.1,723.86 ล้านบาท
นายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้ตัดการ หัวหน้าสายงานวิจัย บล.ภัทร กล่าวว่า บล.ภัทร ได้ปรับลดเป้าดัชนีหุ้นไทยในปีนี้มาที่ 920 จุด จากเดิมเป้าอยู่ที่ 1,100 จุด เนื่องจากตลาดหุ้นจะได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลก ทั้งยุโรปและสหรัฐฯ โดยในยุโรปกังวลปัญหาหนี้ในกรีซ และอาจผิดนัดชำระหนี้ และจะลุกลามไปสู่ภาคสถาบันการเงิน ขณะที่ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯยังชะลอตัว ประกอบกับสถานการณ์น้ำท่วมในประเทศไทย และมองว่า ตลาดหุ้นไทยจากนี้ไปจนถึงสิ้นปีนี้ต่อเนื่องไปถึงปีหน้า จะมีความผันผวนสูง ดังนั้น จึงแนะนำให้นักลงทุนถือเงินสดให้มากที่สุด เพื่อรอให้สถานการณ์ต่างๆ ชัดเจน จึงค่อยกลับมาตัดสินใจลงทุน
ขณะเดียวกัน มองว่า ถึงแม้เศรษฐกิจในประเทศจีนจะมีอัตราการเจริญเติบโตที่สูงแต่ถ้าวิเคราะห์จากตัวเลขหนี้เสีย (NPL) จะเห็นได้ว่ามีหนี้เสียที่ไม่ได้เกิดจากการกู้ยืมจากภาครัฐบาลสูงมากกว่า10ล้านล้านหยวนซึ่งสูงมาก ทำให้ให้รัฐบาลจีนกำลังหามาตรการในการแก้ไขเพื่อยับยั้งการก่อวิกฤตทางการเงิน ด้านดัชนีตลาดหุ้นจีน จะเห็นว่า ดัชนีได้ร่วงลงไปเทียบเท่ากับ 5 ปีก่อน ซึ่งเป็นสัญญาณที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด
ส่วนปัญหาวิกฤตหนี้สินของกรีซนั้น มองว่า อยากจะเยียวยารอเพียงแค่การล่มสลายที่จะเกิดขึ้นไม่น่าเกินเดือนธันวาคมนี้ เพราะยุโรปต้องการที่จะตัดไฟตั้งแต่ต้นลม โดยการปล่อยให้กรีซและโปรตุเกสล่มสลายและออกไปจากกลุ่มยูโรโซน โดยเลือกที่จะรักษาสเปนและอิตาลีไว้ ด้านเศรษฐกิจไทยมองว่ามีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ดูได้จากทุนสำรองระหว่างประเทศและหนี้สาธารณะ แต่ถ้าพิจารณาจากสัดส่วนการส่งออกที่สูงถึงร้อยละ 69 ของจีดีพี โดยร้อยละ 16-17 เป็นการส่งออกไปยังจีนแต่ถ้าสหรัฐฯและยุโรปไม่สามารถแก้ไขปัญหาหนี้ก็จะส่งผลให้จีนไม่สามารถส่งสินค้าไปขายได้ ทำให้ไม่สั่งซื้อสินค้ามาถึงไทยซึ่งจะส่งผลต่อมูลค่าสินค้าส่งออกที่จะลดลง ส่วนปัญหาน้ำท่วมประเมินว่า จะไม่กระทบต่อจีดีพีมาก
นายพงศ์ภัทร สิริพิพัฒน์ ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับขึ้นแรงมาก โดยได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนต่างชาติ นอกจากนี้ ปัจจัยต่างประเทศมีข่าวดีเรื่องการสนับสนุนการเพิ่มทุนของธนาคารพาณิชย์เพื่อรองรับการผิดนัดชำระหนี้ของประเทศยูโรโซน ช่วยสร้างความมั่นใจว่าธนาคารหลายแห่งในยุโรปจะไม่ประสบปัญหา ทำให้วันนี้ (7 ต.ค.) แนวโน้มตลาดหุ้นไทยยังคงมีทิศทางที่ดีจากการที่ปัญหายุโรปดูคลี่คลายไป แต่ยังต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด แต่เชื่อว่า ในระยะสั้นมีทิศทางที่ดีน่าจะทดสอบแนวต้าน 915 จุด ถ้าผ่านไปได้จะได้เห็นที่ 930 จุด
ดัชนีหุ้นไทยวานนี้ (6 ต.ค.) ปรับตัวแรงในแดนบวกตลอดวัน โดยปิดที่ระดับ ระดับ 913.72 จุด เพิ่มขึ้น 51.07 จุด (+5.92%) มูลค่าการซื้อขาย 33,345.78 ล้านบาท หลังมีข่าวดีเรื่องหนี้ยุโรปและแรงซื้อจากนักลงทุนต่างชาติ 989.99 ล้านบาท สถาบัน 1,979.72 ล้านบาท และบัญชี บล.1,723.86 ล้านบาท
นายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้ตัดการ หัวหน้าสายงานวิจัย บล.ภัทร กล่าวว่า บล.ภัทร ได้ปรับลดเป้าดัชนีหุ้นไทยในปีนี้มาที่ 920 จุด จากเดิมเป้าอยู่ที่ 1,100 จุด เนื่องจากตลาดหุ้นจะได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลก ทั้งยุโรปและสหรัฐฯ โดยในยุโรปกังวลปัญหาหนี้ในกรีซ และอาจผิดนัดชำระหนี้ และจะลุกลามไปสู่ภาคสถาบันการเงิน ขณะที่ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯยังชะลอตัว ประกอบกับสถานการณ์น้ำท่วมในประเทศไทย และมองว่า ตลาดหุ้นไทยจากนี้ไปจนถึงสิ้นปีนี้ต่อเนื่องไปถึงปีหน้า จะมีความผันผวนสูง ดังนั้น จึงแนะนำให้นักลงทุนถือเงินสดให้มากที่สุด เพื่อรอให้สถานการณ์ต่างๆ ชัดเจน จึงค่อยกลับมาตัดสินใจลงทุน
ขณะเดียวกัน มองว่า ถึงแม้เศรษฐกิจในประเทศจีนจะมีอัตราการเจริญเติบโตที่สูงแต่ถ้าวิเคราะห์จากตัวเลขหนี้เสีย (NPL) จะเห็นได้ว่ามีหนี้เสียที่ไม่ได้เกิดจากการกู้ยืมจากภาครัฐบาลสูงมากกว่า10ล้านล้านหยวนซึ่งสูงมาก ทำให้ให้รัฐบาลจีนกำลังหามาตรการในการแก้ไขเพื่อยับยั้งการก่อวิกฤตทางการเงิน ด้านดัชนีตลาดหุ้นจีน จะเห็นว่า ดัชนีได้ร่วงลงไปเทียบเท่ากับ 5 ปีก่อน ซึ่งเป็นสัญญาณที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด
ส่วนปัญหาวิกฤตหนี้สินของกรีซนั้น มองว่า อยากจะเยียวยารอเพียงแค่การล่มสลายที่จะเกิดขึ้นไม่น่าเกินเดือนธันวาคมนี้ เพราะยุโรปต้องการที่จะตัดไฟตั้งแต่ต้นลม โดยการปล่อยให้กรีซและโปรตุเกสล่มสลายและออกไปจากกลุ่มยูโรโซน โดยเลือกที่จะรักษาสเปนและอิตาลีไว้ ด้านเศรษฐกิจไทยมองว่ามีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ดูได้จากทุนสำรองระหว่างประเทศและหนี้สาธารณะ แต่ถ้าพิจารณาจากสัดส่วนการส่งออกที่สูงถึงร้อยละ 69 ของจีดีพี โดยร้อยละ 16-17 เป็นการส่งออกไปยังจีนแต่ถ้าสหรัฐฯและยุโรปไม่สามารถแก้ไขปัญหาหนี้ก็จะส่งผลให้จีนไม่สามารถส่งสินค้าไปขายได้ ทำให้ไม่สั่งซื้อสินค้ามาถึงไทยซึ่งจะส่งผลต่อมูลค่าสินค้าส่งออกที่จะลดลง ส่วนปัญหาน้ำท่วมประเมินว่า จะไม่กระทบต่อจีดีพีมาก
นายพงศ์ภัทร สิริพิพัฒน์ ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับขึ้นแรงมาก โดยได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนต่างชาติ นอกจากนี้ ปัจจัยต่างประเทศมีข่าวดีเรื่องการสนับสนุนการเพิ่มทุนของธนาคารพาณิชย์เพื่อรองรับการผิดนัดชำระหนี้ของประเทศยูโรโซน ช่วยสร้างความมั่นใจว่าธนาคารหลายแห่งในยุโรปจะไม่ประสบปัญหา ทำให้วันนี้ (7 ต.ค.) แนวโน้มตลาดหุ้นไทยยังคงมีทิศทางที่ดีจากการที่ปัญหายุโรปดูคลี่คลายไป แต่ยังต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด แต่เชื่อว่า ในระยะสั้นมีทิศทางที่ดีน่าจะทดสอบแนวต้าน 915 จุด ถ้าผ่านไปได้จะได้เห็นที่ 930 จุด