ไทยประกันชีวิตโชว์ผลงาน 11 เดือนกวาดเบี้ยรับรวมกว่า 3 หมื่นล้านบาท พร้อมคาดเบี้ยรับใหม่ทั้งปีแตะ 8 พันล้านบาท ระบุทีมตัวแทนขายสุดแกร่งยอดขายโต 22% พร้อมยันเงินทุนสุดแกร่ง หลังS&P คงอันดับเครดิตทางการเงินของบริษัทฯ ที่ระดับ A- สูงสุดของธุรกิจคนไทย
นายไชย ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานช่วง 11 เดือนของบริษัทในปี 2554 มีเบี้ยประกันรับรวมกว่า 31,800 ล้านบาทเพิ่มขึ้นถึง 9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็นเบี้ยประกันรับที่เกิดจากธุรกิจใหม่ 7,327 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 8% เบี้ยประกันรับปีต่อไป 24,473 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% และประมาณการเบี้ยประกันรับใหม่ทั้งปีอยู่ที่ 8,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ การเติบโตของบริษัทเป็นผลมาจากความเข้มแข็งของเครือข่ายตัวแทน ซึ่งปัจจุบันมีอยู่กว่า 50,000 คน โดยจากตัวเลขของสมาคมประกันชีวิตไทย เมื่อเปรียบเทียบอัตราการเติบโตของช่องทางการขายต่างๆ พบว่า การขายผ่านตัวแทนของไทยประกันชีวิตมีอัตราการเติบโตสูงกว่าอัตราการเติบโตของธุรกิจ โดยมีเบี้ยประกันรับผ่านช่องทางตัวแทนเติบโตถึง 22% ขณะที่ธุรกิจประกันชีวิตทั้งระบบมีอัตราการเติบโตผ่านช่องทางนี้เพียง 17%
“การทำงานของบุคลากรฝ่ายขายยังคงเข้มแข็ง มีประสิทธิภาพ และมีกำลังใจในการทำงานดีเยี่ยม แม้ว่าการแข่งขันในธุรกิจประกันชีวิตจะรุนแรงต่อเนื่อง และมีช่องทางการขายใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นธนาคารพาณิชย์ หรือการขายทางโทรศัพท์ ส่งผลให้ผลงานของฝ่านขายอยู่ในเกณฑ์ดี ขณะที่การขายผ่านช่องทางอื่นของบริษัทฯ ไม่ว่าจะเป็น Bancassurance หรือ Tele-sale ล้วนแต่สูงเกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้” นายไชยกล่าว
นายไชย กล่าวอีกว่า จากความมั่นคงทางการเงิน และผลประกอบการที่อยู่ในเกณฑ์ดี ทำให้สถาบันจัดอันดับความมั่นคงทางการเงิน Standard & Poor’s หรือ S&P คงอันดับเครดิตทางการเงินของบริษัทฯ ที่ระดับ A- มุมมองมีเสถียรภาพ ซึ่งเป็นระดับที่สูงสุดของธุรกิจคนไทย อันเป็นผลมาจากความเข้มแข็งของเครือข่ายและตำแหน่งทางการตลาด รวมถึงการลงทุนที่มีเสถียรภาพ
S&P ประเมินว่า ไทยประกันชีวิตมีพอร์ตการรับประกันที่ใหญ่ และมีความชำนาญในการดำเนินธุรกิจเมื่อเทียบกับคู่แข่งขัน โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับสองอยู่ที่ 12.4% ในปี 2553 รวมถึงมีการขยายเครือข่ายตัวแทนอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ แนวทางการลงทุนของบริษัทฯ มีความรัดกุม มีการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีผลตอบแทนคงที่ (Fixed Income) สูงถึง 80.4% ของสินทรัพย์ลงทุนทั้งหมด และลงทุนในเงินฝากอีก 4.8% ขณะเดียวกันยังลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ
ทั้งนี้บริษัทยังมีเงินทุนที่แข็งแกร่ง จากนโยบายการดำเนินธุรกิจและการลงทุนที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้สัดส่วนทุนที่ปรับแล้วต่อสินทรัพย์ เพิ่มขึ้นเป็น 9.8% ณ สิ้นปี 2553 ซึ่ง S&P เชื่อว่าการที่ไทยประกันชีวิตเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจโดยกลุ่มผู้ถือหุ้นหลัก คือ ตระกูลไชยวรรณ ทำให้เกิดความยืดหยุ่นในการเพิ่มทุน และคาดว่า บริษัทฯ จะสามารถทำให้ทุนเพิ่มขึ้นได้ภายในปี 2554
“S&P ประเมินว่าการบริหารจัดการความเสี่ยงขององค์กรอยู่ในเกณฑ์ที่ดี โดยเฉพาะการบริหารความเสี่ยงด้านการจัดการและการลงทุน โดยกำหนดกรอบ ERM (Enterprise Risk Management) ของตนเอง และมีคณะกรรมการด้านการบริหารความเสี่ยงโดยตรง อันเป็นผลให้การดำเนินธุรกิจของไทยประกันชีวิตมีความมั่นคงสูง” นายไชยกล่าว
นายไชย ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานช่วง 11 เดือนของบริษัทในปี 2554 มีเบี้ยประกันรับรวมกว่า 31,800 ล้านบาทเพิ่มขึ้นถึง 9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็นเบี้ยประกันรับที่เกิดจากธุรกิจใหม่ 7,327 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 8% เบี้ยประกันรับปีต่อไป 24,473 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% และประมาณการเบี้ยประกันรับใหม่ทั้งปีอยู่ที่ 8,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ การเติบโตของบริษัทเป็นผลมาจากความเข้มแข็งของเครือข่ายตัวแทน ซึ่งปัจจุบันมีอยู่กว่า 50,000 คน โดยจากตัวเลขของสมาคมประกันชีวิตไทย เมื่อเปรียบเทียบอัตราการเติบโตของช่องทางการขายต่างๆ พบว่า การขายผ่านตัวแทนของไทยประกันชีวิตมีอัตราการเติบโตสูงกว่าอัตราการเติบโตของธุรกิจ โดยมีเบี้ยประกันรับผ่านช่องทางตัวแทนเติบโตถึง 22% ขณะที่ธุรกิจประกันชีวิตทั้งระบบมีอัตราการเติบโตผ่านช่องทางนี้เพียง 17%
“การทำงานของบุคลากรฝ่ายขายยังคงเข้มแข็ง มีประสิทธิภาพ และมีกำลังใจในการทำงานดีเยี่ยม แม้ว่าการแข่งขันในธุรกิจประกันชีวิตจะรุนแรงต่อเนื่อง และมีช่องทางการขายใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นธนาคารพาณิชย์ หรือการขายทางโทรศัพท์ ส่งผลให้ผลงานของฝ่านขายอยู่ในเกณฑ์ดี ขณะที่การขายผ่านช่องทางอื่นของบริษัทฯ ไม่ว่าจะเป็น Bancassurance หรือ Tele-sale ล้วนแต่สูงเกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้” นายไชยกล่าว
นายไชย กล่าวอีกว่า จากความมั่นคงทางการเงิน และผลประกอบการที่อยู่ในเกณฑ์ดี ทำให้สถาบันจัดอันดับความมั่นคงทางการเงิน Standard & Poor’s หรือ S&P คงอันดับเครดิตทางการเงินของบริษัทฯ ที่ระดับ A- มุมมองมีเสถียรภาพ ซึ่งเป็นระดับที่สูงสุดของธุรกิจคนไทย อันเป็นผลมาจากความเข้มแข็งของเครือข่ายและตำแหน่งทางการตลาด รวมถึงการลงทุนที่มีเสถียรภาพ
S&P ประเมินว่า ไทยประกันชีวิตมีพอร์ตการรับประกันที่ใหญ่ และมีความชำนาญในการดำเนินธุรกิจเมื่อเทียบกับคู่แข่งขัน โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับสองอยู่ที่ 12.4% ในปี 2553 รวมถึงมีการขยายเครือข่ายตัวแทนอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ แนวทางการลงทุนของบริษัทฯ มีความรัดกุม มีการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีผลตอบแทนคงที่ (Fixed Income) สูงถึง 80.4% ของสินทรัพย์ลงทุนทั้งหมด และลงทุนในเงินฝากอีก 4.8% ขณะเดียวกันยังลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ
ทั้งนี้บริษัทยังมีเงินทุนที่แข็งแกร่ง จากนโยบายการดำเนินธุรกิจและการลงทุนที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้สัดส่วนทุนที่ปรับแล้วต่อสินทรัพย์ เพิ่มขึ้นเป็น 9.8% ณ สิ้นปี 2553 ซึ่ง S&P เชื่อว่าการที่ไทยประกันชีวิตเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจโดยกลุ่มผู้ถือหุ้นหลัก คือ ตระกูลไชยวรรณ ทำให้เกิดความยืดหยุ่นในการเพิ่มทุน และคาดว่า บริษัทฯ จะสามารถทำให้ทุนเพิ่มขึ้นได้ภายในปี 2554
“S&P ประเมินว่าการบริหารจัดการความเสี่ยงขององค์กรอยู่ในเกณฑ์ที่ดี โดยเฉพาะการบริหารความเสี่ยงด้านการจัดการและการลงทุน โดยกำหนดกรอบ ERM (Enterprise Risk Management) ของตนเอง และมีคณะกรรมการด้านการบริหารความเสี่ยงโดยตรง อันเป็นผลให้การดำเนินธุรกิจของไทยประกันชีวิตมีความมั่นคงสูง” นายไชยกล่าว