ฟินันซ่ารับเศรษฐกิจ-น้ำท่วมกระทบAUM ชี้ปีหน้าลำบากอีกหลังแบงก์พาณิชย์ส่อดึงเงินฝาก พร้อมเล็งออกกองอสังหาฯ ช่วยกระตุ้นยอดเพิ่ม ส่วนล่าสุดส่งกองRMF"ฟินันซ่า รีไทร์เมนท์ โซลูชั่น" ชูการบริหารแบบ Absolute return หนึ่งเดียวในไทย มั่นใจตอบโจทย์แบบพอเพียงสร้างผลตอบแทนชนะเงินเฟ้อได้
นายธีรพันธุ์ จิตตาลาน กรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ฟินันซ่า จำกัด เปิดเผยว่า การขยายตัวด้านสินทรัพย์รวมภายใต้การบริหาร(AUM) ของบริษัทในปีที่ผ่านไม่สามารถขยายตัวได้มากนัก เนื่องจากสถานการณ์น้ำท่วมและสภาพเศรษฐกิจ โดยในปี 2553 บริษัทมีเอยูเอ็มอยู่ที่ 2.6 หมื่นล้านบาท และคาดว่าสิ้นปี 2554 จะสามารถรักษาให้อยู่ในระดับ 2.9-3 หมื่นล้านบาทได้
ส่วนแผนการออกกองทุนในปีหน้าบริษัทตั้งเป้าที่จะออกกองทุนอสังหาริมทรัพย์เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่นักลงทุน โดยขณะนี้อยู่ในระหว่างการเจราจากับเจ้าของสินทรัพย์ 2 แห่งมุลค่าโครงการประมาณ 3-4 พันล้านบาท นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะออกกองทุนพันธบัตรรัฐบาลที่อายุตราสารประมาณ 2-6 ปี แต่ยังอยู่ในระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ก่อน
"ปีหน้าคงจะเป็นปีที่ยากมากขึ้น เพราะคาดว่าแบงก์พาณิชย์จะหันมาระดมเงินฝากตลอดทั้งปี ซึ่งบลจ.คงจะต้องหาสินค้ามาแข่งยิ่งประเภทเทอมฟันด์ก็จะต้องหาที่ผลตอบแทนสูงกว่าดอกเบี้ยที่แบงก์พาณิชย์ออกแคมเปญมา แต่เชื่อว่าน่าจะมีโอกาสเพราะขณะนี้เงินที่เคยโยกไปลงทุนในพันธบัตรเกาหลีใต้ประมาณ 5 แสนล้านบาททยอยครบอายุเกือบหมดแล้ว"นายธีรพันธุ์กล่าว
นายธีรพันธุ์ กล่าวอีกว่า นอกจากแผนการออกกองทุนในปีหน้าแล้ว ในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ บริษัทได้เตรียมทำการเปิดขายกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ(RMF)ใหม่ เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่นักลงทุนในการหักลดหย่อนภาษีและเพิ่มผลตอบแทนในระยะยาว โดยกองทุนนี้จะมีนโยบายการลงทุนที่แตกต่างจากกองทุน RMF อื่นๆ ของประเทศไทยที่เปิดขายอยู่ และนับเป็นกองทุนแรกในประเทศที่มีนโยบายการลงทุนรูปแบบนี้
สำหรับกองทุนเปิดฟินันซ่า รีไทร์เมนท์ โซลูชั่น เพื่อการเลี้ยงชีพ(FAM RSRMF) จะทำการเปิดขายตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 26 ธันวาคม โดยกองทุนนี้จะมีนโยบายการลงทุนในประเทศ และเป็นกองทุนรวมผสมแบบไม่กำหนดสัดส่วนการลงทุน ซึ่งกลยุทธ์การปรับน้ำหนักการลงทุนจะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของบริษัท
ส่วนจุดเด่นของกองทุนี้จะมีการบริหารกองทุนแบบ Absolute return ที่มุ่งบริหารให้ผลตอบแทนเป็นบวก โดยไม่ยึดติดการอ้างอิงตัวชี้วัดหรือดัชนีใดๆ ซึ่งเหมาะกับลูกค้าที่ไม่มีเวลาดูแลกองทุนของตนเองแต่สามารถสร้างผลกำไรได้ทั้งภาวะตลาดหุ้นขาขึ้นและขาลง โดยมีสัดส่วนการลงทุนเบื้องต้นของกองทุนนี้จะลงทุนในตราสารหนี้ 60% ตราสาทุน 30% และทองคำ 10% แต่จะสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามภาวะตลาด
ทั้งนี้ การลงทุนที่หลากหลายจะทำให้สามารถบริหารความเสี่ยงได้ดียิ่งขึ้น และนับเป็นจุดเด่นในการบริหารกองทุนรูปแบบนี้ เนื่องจากมีทั้งการลงทุนใน ตราสารหนี้ระยะสั้นและระยะยาว ตราสารทุนในประเทศ และหน่วยลงทุนทองคำเข้าไว้ด้วยกันทำให้ผู้จัดการกองทุนสามารถประสมประสานกลยุทธ์การลงทุนให้เข้ากับสภาวะการลงทุนที่ผันผวนได้
"เราสามารถบริหารความเสี่ยงได้ง่าย และโยกการลงทุนตามภาวะ ไม่ว่าจะเป็นช่วงเศรษฐกิจดีหุ้นขึ้น หรือช่วงที่ทองคำขึ้นหลังเศรษฐกิจแย่ แต่ต้องบอกก่อนว่ากองทุนนี้ไม่ได้ตอบโจทย์ของทุกคน แต่บอกได้เลยว่ากองทุนนี้เป็นกองทุนที่เหมาะกับคนที่ไม่โลภ เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ไม่ต้องเอาดัชนีมาชี้วัดชแต่ได้ผลตอบแทน ซึ่งไม่ต้องมากแค่ 4-5% ก็พอ และยิ่งเอามาบวกกับสิทธิ์ทางภาษีที่ได้ผมเชื่อว่าผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนน่าจะชนะอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นได้"นายธีรพันธุ์กล่าว
นายธีรพันธุ์ จิตตาลาน กรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ฟินันซ่า จำกัด เปิดเผยว่า การขยายตัวด้านสินทรัพย์รวมภายใต้การบริหาร(AUM) ของบริษัทในปีที่ผ่านไม่สามารถขยายตัวได้มากนัก เนื่องจากสถานการณ์น้ำท่วมและสภาพเศรษฐกิจ โดยในปี 2553 บริษัทมีเอยูเอ็มอยู่ที่ 2.6 หมื่นล้านบาท และคาดว่าสิ้นปี 2554 จะสามารถรักษาให้อยู่ในระดับ 2.9-3 หมื่นล้านบาทได้
ส่วนแผนการออกกองทุนในปีหน้าบริษัทตั้งเป้าที่จะออกกองทุนอสังหาริมทรัพย์เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่นักลงทุน โดยขณะนี้อยู่ในระหว่างการเจราจากับเจ้าของสินทรัพย์ 2 แห่งมุลค่าโครงการประมาณ 3-4 พันล้านบาท นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะออกกองทุนพันธบัตรรัฐบาลที่อายุตราสารประมาณ 2-6 ปี แต่ยังอยู่ในระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ก่อน
"ปีหน้าคงจะเป็นปีที่ยากมากขึ้น เพราะคาดว่าแบงก์พาณิชย์จะหันมาระดมเงินฝากตลอดทั้งปี ซึ่งบลจ.คงจะต้องหาสินค้ามาแข่งยิ่งประเภทเทอมฟันด์ก็จะต้องหาที่ผลตอบแทนสูงกว่าดอกเบี้ยที่แบงก์พาณิชย์ออกแคมเปญมา แต่เชื่อว่าน่าจะมีโอกาสเพราะขณะนี้เงินที่เคยโยกไปลงทุนในพันธบัตรเกาหลีใต้ประมาณ 5 แสนล้านบาททยอยครบอายุเกือบหมดแล้ว"นายธีรพันธุ์กล่าว
นายธีรพันธุ์ กล่าวอีกว่า นอกจากแผนการออกกองทุนในปีหน้าแล้ว ในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ บริษัทได้เตรียมทำการเปิดขายกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ(RMF)ใหม่ เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่นักลงทุนในการหักลดหย่อนภาษีและเพิ่มผลตอบแทนในระยะยาว โดยกองทุนนี้จะมีนโยบายการลงทุนที่แตกต่างจากกองทุน RMF อื่นๆ ของประเทศไทยที่เปิดขายอยู่ และนับเป็นกองทุนแรกในประเทศที่มีนโยบายการลงทุนรูปแบบนี้
สำหรับกองทุนเปิดฟินันซ่า รีไทร์เมนท์ โซลูชั่น เพื่อการเลี้ยงชีพ(FAM RSRMF) จะทำการเปิดขายตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 26 ธันวาคม โดยกองทุนนี้จะมีนโยบายการลงทุนในประเทศ และเป็นกองทุนรวมผสมแบบไม่กำหนดสัดส่วนการลงทุน ซึ่งกลยุทธ์การปรับน้ำหนักการลงทุนจะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของบริษัท
ส่วนจุดเด่นของกองทุนี้จะมีการบริหารกองทุนแบบ Absolute return ที่มุ่งบริหารให้ผลตอบแทนเป็นบวก โดยไม่ยึดติดการอ้างอิงตัวชี้วัดหรือดัชนีใดๆ ซึ่งเหมาะกับลูกค้าที่ไม่มีเวลาดูแลกองทุนของตนเองแต่สามารถสร้างผลกำไรได้ทั้งภาวะตลาดหุ้นขาขึ้นและขาลง โดยมีสัดส่วนการลงทุนเบื้องต้นของกองทุนนี้จะลงทุนในตราสารหนี้ 60% ตราสาทุน 30% และทองคำ 10% แต่จะสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามภาวะตลาด
ทั้งนี้ การลงทุนที่หลากหลายจะทำให้สามารถบริหารความเสี่ยงได้ดียิ่งขึ้น และนับเป็นจุดเด่นในการบริหารกองทุนรูปแบบนี้ เนื่องจากมีทั้งการลงทุนใน ตราสารหนี้ระยะสั้นและระยะยาว ตราสารทุนในประเทศ และหน่วยลงทุนทองคำเข้าไว้ด้วยกันทำให้ผู้จัดการกองทุนสามารถประสมประสานกลยุทธ์การลงทุนให้เข้ากับสภาวะการลงทุนที่ผันผวนได้
"เราสามารถบริหารความเสี่ยงได้ง่าย และโยกการลงทุนตามภาวะ ไม่ว่าจะเป็นช่วงเศรษฐกิจดีหุ้นขึ้น หรือช่วงที่ทองคำขึ้นหลังเศรษฐกิจแย่ แต่ต้องบอกก่อนว่ากองทุนนี้ไม่ได้ตอบโจทย์ของทุกคน แต่บอกได้เลยว่ากองทุนนี้เป็นกองทุนที่เหมาะกับคนที่ไม่โลภ เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ไม่ต้องเอาดัชนีมาชี้วัดชแต่ได้ผลตอบแทน ซึ่งไม่ต้องมากแค่ 4-5% ก็พอ และยิ่งเอามาบวกกับสิทธิ์ทางภาษีที่ได้ผมเชื่อว่าผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนน่าจะชนะอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นได้"นายธีรพันธุ์กล่าว
