xs
xsm
sm
md
lg

KASEETลุยกองทุนส่วนบุคคลเต็มสูบ เตรียมเจาะฐานตลาดสถาบันการศึกษา

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เกษตร ชัยวันเพ็ญ
บลจ.กสิกรไทย มองช่องทางการขายกองทุนส่วนบุคคลเพิ่ม เตรียมลุยตลาดสถาบันการศึกษา หลังมหาวิทยาลัยให้บลจ.บริหารเงินไม่ถึง 10 แห่งมองโอกาสเติบโตส่วนนี้ยังมีอีกมาก พร้อมมั่นใจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพยังเติบโตรักษามาร์เก็ตแชร์อันดับที่1ได้ต่อ

นายเกษตร ชัยวันเพ็ญ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ปี 2554 ที่ผานมา บริษัทยังสามารถรักษาส่วนแบ่งการตลาดในธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพได้เป็น อันดับหนึ่ง โดยมีลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นมากกว่า 200 บริษัทและมีนายจ้าง 2,000 กว่าราย ส่วนใหญ่เป็นภาคเอกชน รวมทั้งมีลูกค้ารายใหญ่ที่สนใจให้บริษัทบริหารเงินให้ ได้แก่ โตโยต้า ขนาดกองทุน 1,000 ล้านบาทและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธกส.) อีก 7,000 ล้านบาท ส่งผลให้สิ้นปีนี้ปิดที่ 1.3 แสนล้านบาทและต้นเดือนม.ค.จะเพิ่มเป็น 1.4 แสนล้านบาททันทีหลังจากลูกค้าใหม่โอนสินทรัพย์เข้ามา

" ปี 2555 เราคงโตได้จากเพิ่มฐานลูกค้าใหม่และรักษาลูกค้าเก่า เพื่อรักษาส่วนแบ่งการตลาดไว้ให้ได้ แม้จะมองว่าการแข่งขันในปีหน้าอาจเหนือยกว่าปีนี้ เนื่องจากตลาดหุ้นไม่ดี จึงเป็นสิ่งท้าทายและต้องสร้างผลตอบแทนของกองทุนให้ดีกว่าปีนี้"

อย่างไรก็ตามแม้ผลตอบแทนในปีนี้อาจไม่ดีนักเนื่องจากตลาดหุ้นผันผวนจากปัญหาวิกฤติหนี้ยุโรป แต่ภาพรวมปีนี้ผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารหนี้ประมาณ 2% โดยกองทุนหุ้น จนถึง ณ วันที่ 21 ธ.ค.2554 ที่ผ่านมา ยังไม่มีกองทุนไหนติดลบ หากดัชนีต่ำกว่า 1,000 จุดอาจมีติดลบบ้าง

นายเกษตร กล่าวว่า การทำธุรกิจในปัจจุบันยอมรับว่าบริษัทมีจุดขายในการเป็นแบรนด์ กสิกรไทยที่แข็งแกร่ง รวมทั้งรักษาผลตอบแทนได้สม่ำเสมอ บุคคลากรมีการเปลี่ยนแปลงเข้าออกน้อยกว่าบลจ.อื่นๆ ส่งผลให้ลูกค้าบางรายที่เคยให้บริษัทบริหารก็ย้ายกลับมาหลังจากทดลองเลือกรายใหม่บริหารเงินให้

ทั้งนี้ปัจจุบันมีลูกค้าลงทุนผ่านการลงทุนทางเลือก (เอ็มโพยี่ช๊อยส์) ประมาณ 15% และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เพราะรักฐวิสาหกิจเกือบทุแห่งทำเอ็มโพยี่ช๊อยส์แล้ว โดยปัจจุบันมีเอ็มโพยี่ช๊อยส์ 6 ทางเลือก โดย 1.ตราสารหนี้สั้น ซึ่งผลตอบแทนไม่ติดลย 2.ตราสารหนี้ยาวขึ้นอีกนิด ผลตอบแทนมีโอกาสติดลย 3.หุ้น 10% ที่เหลือเป็นตราสารหนี้ 4.หุ้น 25%ที่เหลือเป็นตราสารหนี้ 5.หุ้น 25% รวมการลงทุนต่างประเทศ และที่เหลือเป็นตราสารหนี้ 6.หุ้น 100% แต่ปัจจุบันยังไม่มีลูกค้าลงทุน

อย่างไรก็ตามบริษัทยังมีแผนเพิ่มทางเลือกให้ลูกค้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพไปลงทุนใน กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากลูกค้ายังไม่สนใจมากนัก แต่มีโอกาสที่จะเพิ่มทางเลือกลงทุนทองคำประมาณ 15% หลังจากลูกค้าให้ความสนใจมากขึ้น ดังนั้นจะส่งผลให้กองทุน K-GOLD ของบริษัทเติบโตจากปัจจุบันได้อีกมาก เนื่องจากปัจจุบันกองทุนทองคำโตจากนักลงทุนทั่วไป แต่อนาคตจะโตจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพได้

สำหรับภาพรวมอุตสาหกรรมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ สิ้นตุลาคม 2554 มีสินทัรพย์ประมาณเกือบ 6 แสนล้านบาท โดยแนวโน้มการเติบโตจะมาจากเงินของสมาชิกที่เข้ามาทุกเดือน ผลตอบแทนของกองทุนและนายจ้างใหม่ แต่มีมูลค่าสินทรัพย์ขนาดเล็ก เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีลูกค้าขนาดใหญ่ครบอายุการลงทุน แต่หากปีหน้าทำผลตอบแทนจากหุ้นได้ดีก็จะช่วยหนุนให้สินทัรพย์เติบโตได้ ส่วนการแข่งขันลดค่าธรรมเนียมเหลือ 0% นั้นมีน้อยลง แต่จะเป็นรูปของการกำหนดเป้าหมายเพื่อคิดค่าธรรมเนียมมากกว่า หากบริหารไม่ได้ตามเป้าอาจไม่คิดค่าธรรมเนียม แต่หากได้เกินเป้าก็อาจเก็บในอัตราที่เพิ่มขึ้น

" น้ำท่วมที่เกิดขึ้นนั้นส่งผลกระทบกับลูกค้าของบริษัทน้อยมาก จากจำนวนลูกค้า 2,000 ราย โทรมาปรึกษาบริษัทเพียง 20 รายและขอเลื่อนส่งเงินออกไปไม่ถึง 10 ราย"

นายเกษตร กล่าวว่า สำหรับธุรกิจกองทุนาส่วนบุคคลในส่วนของลูกค้าสถาบันและองค์กรที่รับผิดชอบ อยู่นั้น ปีที่ผ่านมาได้บริหารเงินของสำนักบริหารหนี้สาธารณะ 10,000 ล้านบาทและยังมีลูกค้าเอกชนและมหาวิทยาลัย 4,000 ล้านบาท สงผลให้มีสินทรัพย์เข้ามามากกว่า 2 หมื่นล้านบาท จนมีขนาดสินทรัพย์ 7 หมื่นล้านบาทและคาดว่ายังเติบโต 10% โดยตลาดที่น่าสนใจคือมหาวิทยาลัย เนื่องจากปัจจุบันมีมหาวิทยาลัยให้บลจ.บริหารเงินไม่ถึง 10 แห่ง จึงยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก

ขณะที่ตลาดกลุ่มลูกค้าสหกรณ์เร่มซาลง ตลาดไม่ใหญ่เหมือนมหาวิทยาลัย แนวโน้มการแข่งขันธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลน่าจะมากขึ้น และน่าจะเติบโตได้จากนักลงทุนสถาบันมากกว่า เพราะลูกค้าทั้่วไปสามารถลงทุนผ่านกองทุนรวมได้และไม่เสียภาษี ดังนั้นมองว่าการลดวงเงินคุ้มครองเงินฝากเหลือ 1 ล้านบัญชีตอคนต่อธนาคารในปีหน้าไม่น่าจะทำให้นักลงทุนโยกเงินมาลงุนผ่านกองทุนส่วนบุคคลมากนัก เงินฝากน่าจะโยกไปยังธนาคารที่มีความมั่นคงและฐานะแข็งแกร่งมากกว่า
กำลังโหลดความคิดเห็น