นักวิเคราะห์กองทุนรวม แนะนักลงทุนลงทุนในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2554 ต้องระมัดระวังมากขึ้น หลังปัญหาหนี้เสียในยุโรปยังไม่คลี่คลาย พร้อมชูกองทุน "KSDLTF" ของบลจ.กสิกรไทยน่าลงทุน
นายสานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล Fund SuperMart Analyst บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หลังจากที่กนง. ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงลง 0.25% สู่ 3.25% เพื่อบรรเทาผลกระทบจากน้ำท่วมต่อเศรษฐกิจโดยรวม ทำให้อัตราผลตอบแทนของกองทุนตลาดเงินจะเริ่มชะลอตัวลงเล็กน้อย ขณะที่กองทุนตราสารหนี้ในประเทศที่เป็นกองเปิดจะปรับตัวดีขึ้น ขณะที่กองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศที่เราแนะนำอย่างกองทุนT-Global Bond Fund ราคา NAV ปรับลดลงมามาก เราแนะนำให้สะสมเพิ่ม โดยยังเชื่อมั่นกับกลยุทธการลงทุนของกองทุนหลัก ที่วางไว้หาผลตอบแทนจากความแตกต่างทางเศรษฐกิจของ 2 เขตเศรษฐกิจคือ กลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว และประเทศตลาดเกิดใหม่ ที่จะเห็นการเติบโตที่แตกต่างกัน
นอกจากนี้เราเชื่อว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกจะยังดำเนินต่อไป โดยสหรัฐและยุโรปจะฟื้นตัวอย่างช้าๆ ขณะที่ EmergingMarket และเอเชีย ยังคงรักษาระดับการเติบโตที่แข็งแกร่งได้ จึงยังคงแนะนำให้ทยอยสะสมเพิ่มกองทุนหุ้นและเน้นกองทุนหุ้นตลาดเกิดใหม่ หรือเอเชีย เป็นหลัก อย่างไรก็ตามเรายังกังวลกับผลกระทบจากน้ำท่วม และปัญหาหนี้ยุโรปในช่วงต้นปี SET คาดว่าจะมีความเสี่ยงขาลงอยู่ แม้ระยะสั้นจะปรับตัวดีขึ้น ทำให้เรายังคงน้ำหนักในระดับเดิม ส่วนการลงทุน LTF ขณะนี้แนะนำ KSDLTF ไปก่อนสำหรับปีนี้
ขณะที่ราคาน้ำมันยังมีทิศทางที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ อย่างไรก็ตาม Upsidegain ของราคาน้ำมันเริ่มจำกัด เนื่องจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นจะกลับมากระทบกับเศรษฐกิจโลกให้ชะลอตัวลง ทำให้ราคาน้ำมันยิ่งสูงมากเท่าไหร่ยิ่งอันตรายเพิ่มขึ้น ระยะสั้นแนะนำให้ถือลุ้น “เก็งกำไร” ต่อ แต่ให้เริ่มพิจารณาขายเมื่อราคาน้ำมันสูงกว่า 100 US$/bbl. ส่วนกองทุนทองคำ เราแนะนำให้คงสถานะไว้ตามเดิม เพื่อรับมือกับความเสี่ยงจากวิกฤติหนี้ยุโรปหากนักลงทุนยังไม่มีกองทุนทองคำ แนะนำให้มีติดพอร์ตไว้บ้าง
อย่างไรก็ตามปัญหาหนี้ยุโรปยังคงเป็นที่สนใจของนักลงทุนทั่วโลก และกลับมาสร้างแรงกดดันต่อราคาสินทรัพย์เสี่ยงในเดือนพฤศจิกายนอีกครั้ง เมื่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอิตาลี และสเปน พุ่งขึ้นจนถึงระดับที่สร้างความกังวลให้กับนักลงทุนว่าอิตาลี และสเปนจะต้องร้องขอความช่วยเหลือจาก IMF และ EU นอกจากนี้ปัญหาหนี้ยุโรปอาจลุกลามไปยังประเทศที่ยังไม่มีปัญหาอย่างฝรั่งเศส และเยอรมัน และระบบการเงินธนาคารในยุโรป ทำให้ภาพรวมราคาสินทรัพย์เสี่ยงกลับมาลดลงอีกครั้ง หลังจากปรับตัวขึ้นในเดือนก่อน ทั้งนี้เรายังคงคาดว่าเดือนสุดท้ายของปี 2554 คงเลี่ยงไม่ได้ที่ยังจะต้องเผชิญกับความเสี่ยงปัญหาหนี้ยุโรป
ทั้งนี้ระยะสั้นเราเชื่อว่าตลาดสินทรัพย์เสี่ยงจะตอบรับในทางที่ดี ต่อความคาดหวังแนวทางการแก้ปัญหาหนี้ยุโรป ราคาสินทรัพย์เสี่ยงมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะราคาน้ำมันที่ได้รับแรงหนุนจากความ
กังวลทางฝั่งอุปทานทั้งจากอิหร่าน รวมถึงเศรษฐกิจสหรัฐที่ฟื้นตัว อย่างไรก็ตามเรายังไม่เห็นการแก้ไขปัญหาหนี้ยุโรปอย่างจริงจัง ทำให้ความเสี่ยงหนี้ยุโรปไม่ได้ลดลง ดังนั้นระยะสั้นยังคงคำแนะนำ “เก็งกำไร” ตามความคาดหวังต่อความคืบหน้าการแก้ปัญหา แต่ระยะยาวยังต้องระมัดระวัง และะสะสมสินทรัพย์เสี่ยงเมื่อปรับลงแรง โดยยังเน้นกองทุนที่ไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาหนี้ยุโรปโดยตรง
นายสานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล Fund SuperMart Analyst บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หลังจากที่กนง. ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงลง 0.25% สู่ 3.25% เพื่อบรรเทาผลกระทบจากน้ำท่วมต่อเศรษฐกิจโดยรวม ทำให้อัตราผลตอบแทนของกองทุนตลาดเงินจะเริ่มชะลอตัวลงเล็กน้อย ขณะที่กองทุนตราสารหนี้ในประเทศที่เป็นกองเปิดจะปรับตัวดีขึ้น ขณะที่กองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศที่เราแนะนำอย่างกองทุนT-Global Bond Fund ราคา NAV ปรับลดลงมามาก เราแนะนำให้สะสมเพิ่ม โดยยังเชื่อมั่นกับกลยุทธการลงทุนของกองทุนหลัก ที่วางไว้หาผลตอบแทนจากความแตกต่างทางเศรษฐกิจของ 2 เขตเศรษฐกิจคือ กลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว และประเทศตลาดเกิดใหม่ ที่จะเห็นการเติบโตที่แตกต่างกัน
นอกจากนี้เราเชื่อว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกจะยังดำเนินต่อไป โดยสหรัฐและยุโรปจะฟื้นตัวอย่างช้าๆ ขณะที่ EmergingMarket และเอเชีย ยังคงรักษาระดับการเติบโตที่แข็งแกร่งได้ จึงยังคงแนะนำให้ทยอยสะสมเพิ่มกองทุนหุ้นและเน้นกองทุนหุ้นตลาดเกิดใหม่ หรือเอเชีย เป็นหลัก อย่างไรก็ตามเรายังกังวลกับผลกระทบจากน้ำท่วม และปัญหาหนี้ยุโรปในช่วงต้นปี SET คาดว่าจะมีความเสี่ยงขาลงอยู่ แม้ระยะสั้นจะปรับตัวดีขึ้น ทำให้เรายังคงน้ำหนักในระดับเดิม ส่วนการลงทุน LTF ขณะนี้แนะนำ KSDLTF ไปก่อนสำหรับปีนี้
ขณะที่ราคาน้ำมันยังมีทิศทางที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ อย่างไรก็ตาม Upsidegain ของราคาน้ำมันเริ่มจำกัด เนื่องจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นจะกลับมากระทบกับเศรษฐกิจโลกให้ชะลอตัวลง ทำให้ราคาน้ำมันยิ่งสูงมากเท่าไหร่ยิ่งอันตรายเพิ่มขึ้น ระยะสั้นแนะนำให้ถือลุ้น “เก็งกำไร” ต่อ แต่ให้เริ่มพิจารณาขายเมื่อราคาน้ำมันสูงกว่า 100 US$/bbl. ส่วนกองทุนทองคำ เราแนะนำให้คงสถานะไว้ตามเดิม เพื่อรับมือกับความเสี่ยงจากวิกฤติหนี้ยุโรปหากนักลงทุนยังไม่มีกองทุนทองคำ แนะนำให้มีติดพอร์ตไว้บ้าง
อย่างไรก็ตามปัญหาหนี้ยุโรปยังคงเป็นที่สนใจของนักลงทุนทั่วโลก และกลับมาสร้างแรงกดดันต่อราคาสินทรัพย์เสี่ยงในเดือนพฤศจิกายนอีกครั้ง เมื่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอิตาลี และสเปน พุ่งขึ้นจนถึงระดับที่สร้างความกังวลให้กับนักลงทุนว่าอิตาลี และสเปนจะต้องร้องขอความช่วยเหลือจาก IMF และ EU นอกจากนี้ปัญหาหนี้ยุโรปอาจลุกลามไปยังประเทศที่ยังไม่มีปัญหาอย่างฝรั่งเศส และเยอรมัน และระบบการเงินธนาคารในยุโรป ทำให้ภาพรวมราคาสินทรัพย์เสี่ยงกลับมาลดลงอีกครั้ง หลังจากปรับตัวขึ้นในเดือนก่อน ทั้งนี้เรายังคงคาดว่าเดือนสุดท้ายของปี 2554 คงเลี่ยงไม่ได้ที่ยังจะต้องเผชิญกับความเสี่ยงปัญหาหนี้ยุโรป
ทั้งนี้ระยะสั้นเราเชื่อว่าตลาดสินทรัพย์เสี่ยงจะตอบรับในทางที่ดี ต่อความคาดหวังแนวทางการแก้ปัญหาหนี้ยุโรป ราคาสินทรัพย์เสี่ยงมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะราคาน้ำมันที่ได้รับแรงหนุนจากความ
กังวลทางฝั่งอุปทานทั้งจากอิหร่าน รวมถึงเศรษฐกิจสหรัฐที่ฟื้นตัว อย่างไรก็ตามเรายังไม่เห็นการแก้ไขปัญหาหนี้ยุโรปอย่างจริงจัง ทำให้ความเสี่ยงหนี้ยุโรปไม่ได้ลดลง ดังนั้นระยะสั้นยังคงคำแนะนำ “เก็งกำไร” ตามความคาดหวังต่อความคืบหน้าการแก้ปัญหา แต่ระยะยาวยังต้องระมัดระวัง และะสะสมสินทรัพย์เสี่ยงเมื่อปรับลงแรง โดยยังเน้นกองทุนที่ไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาหนี้ยุโรปโดยตรง