ราคาทองคำวิ่งขานรับวิกฤตหนี้ยุโรป ส่งสัญญาณมีทางออก บลจ.แอสเซทพลัสประเมินราคาขยับอีกในสองสัปดาห์ข้างหน้า ให้กรอบระหว่าง 1,650-1,700USD/ออนซ์
รายงานข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) แอสเซทพลัส จำกัด เปิดเผยถึงแนวโน้มราคาทองคำว่า ในสองสัปดาห์ที่ผ่านมาราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย จากระดับที่ 1,620 USD/ออนซ์ มาอยู่ที่ระดับ 1,670 USD/ออนซ์ ทั้งนี้ เกิดจากช่วงเทศกาลวันหยุด Golden week ของประเทศจีน ช่วงวันที่ 1-7 ต.ค. ทำให้มีความต้องการซื้อทองคำเพื่อใช้เป็นเครื่องประดับเพิ่มขึ้น มากกว่า 2 เท่า จากระดับปกติของผู้บริโภคในประเทศจีน
อย่างไรก็ตาม คาดว่าราคาทองคำหลังจากนี้ น่าจะปรับตัวขึ้นเล็กน้อยในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้าจากความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนที่มีต่อการแก้ไขปัญหาหนี้สาธารณะของยุโรป และตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่จะทยอยประกาศในสัปดาห์นี้ ที่มีแนวโน้มค่อนข้างดี ดังนั้นคาดว่า ราคาทองคำน่าจะเคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 1,650-1,700USD/ออนซ์
ทั้งนี้ บลจ.แอสเซทพลัสรายงานสถานการณ์การเงินในยุโรปว่า ธนาคารกลางยุโรป(ECB) เตรียมดำเนินการแผน “Separation Principle” โดย ECB จะดำเนินการในด้านการเสริมสภาพคล่องให้กับระบบ ขณะที่เห็นว่าส่วนรัฐบาลของประเทศในกลุ่มยูโรโซนควรจะดำเนินการด้านเงินทุนให้กับสถาบันการเงินของตน ทั้งนี้ ECB ยืนยันว่าจะสร้างเสถียรภาพของตลาดการเงิน โดยเสริมสภาพคล่องให้อย่างไม่จำกัดจนถึงไตรมาส 3 ปี 2012 ผ่านแผนสร้างสภาพคล่องหลาย ๆ ด้าน ซึ่งรวมถึงการเข้าซื้อตราสารหนี้ (Covered Bond Purchase Program : CBPP2) ที่จะเริ่มในเดือน พ.ย. 2011 และสิ้นสุดเดือน ต.ค. 2012 เพื่อสนับสนุนเงินทุนให้กับสถาบันการเงินในระยะกลางด้วย
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการคาดการณ์แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือน พ.ย. คาดว่าจะต้องติดตามตัวเลขแนวโน้มเศรษฐกิจในยูโรโซน เช่น GDP และอัตราเงินเฟ้อ เป็นต้น ทั้งนี้ ตลาดคาดว่า น่าจะปรับลด 0.25%
ส่วนความเคลื่อนไหวของสถาบันการเงินในยุโรปนั้น ในส่วนธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ประกาศขยายเพดานมาตรการผ่อนคลายปริมาณเงิน (QE) ในการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาล จำนวน 75 พันล้านปอนด์มากกว่าที่คาดการณ์ที่ระดับ 50 พันล้านปอนด์ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ ซบเซา ขณะที่อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ BOE ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 0.5% ทั้งนี้ คาดว่าในช่วงกุมภาพันธ์ 2012 อังกฤษอาจมีมาตรการ QE เพิ่มเติม และอัตราดอกเบี้ยน่าจะคงอยู่ในระดับนี้จนถึงปี 2013
ในขณะที่ Moody’s ลดอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคารในอังกฤษ 12 แห่ง เช่น Royal Bank of Scotland (RBS), Lloyds TSB Bank, Santander UK , Co-Operative Bank เนื่องจากประเมินว่าการสนับสนุนภาคการเงินในอังกฤษจะไม่สามารถออกมาตรการช่วยเหลือการปรับโครงสร้างฐานทุนได้ นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างทบทวนอันดับความน่าเชื่อถือของเบลเยี่ยมซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ระดับ AA1 จากความเสี่ยงต่อการระดมทุนของสมาชิกสหภาพยุโรป(EU)และการปรับโครงสร้างทุนของระบบสถาบันการเงิน อย่างไรก็ตาม นายจอร์จ ออสบอร์น รมว.คลังอังกฤษ กล่าวว่า ธนาคารของอังกฤษมีเงินทุนมากเพียงพอ และมีสภาพคล่อง โดยธนาคารกลางอังกฤษจะอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่เศรษฐกิจมากขึ้น และแผนการลดยอดขาดดุลของรัฐบาลจะช่วยปกป้องอังกฤษจากวิกฤติหนี้ยูโรโซน ทั้งนี้ การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของ Moody’s เป็นเพียงแค่สะท้อนความเคลื่อนไหวของรัฐบาลที่หลีกเลี่ยงการต้องเข้าช่วยเหลือสถาบันเหล่านี้
เช่นเดียวกัน Fitch ลดอันดับความน่าเชื่อถือของอิตาลีและสเปน : อิตาลีลดลงจาก AA- เป็นA+ และสเปนลดจาก AA+ เป็น AA- โดยมีแนวโน้มเป็นลบทั้งสองประเทศ และอยู่ระหว่างทบทวนความน่าเชื่อถือของโปรตุเกส
รายงานข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) แอสเซทพลัส จำกัด เปิดเผยถึงแนวโน้มราคาทองคำว่า ในสองสัปดาห์ที่ผ่านมาราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย จากระดับที่ 1,620 USD/ออนซ์ มาอยู่ที่ระดับ 1,670 USD/ออนซ์ ทั้งนี้ เกิดจากช่วงเทศกาลวันหยุด Golden week ของประเทศจีน ช่วงวันที่ 1-7 ต.ค. ทำให้มีความต้องการซื้อทองคำเพื่อใช้เป็นเครื่องประดับเพิ่มขึ้น มากกว่า 2 เท่า จากระดับปกติของผู้บริโภคในประเทศจีน
อย่างไรก็ตาม คาดว่าราคาทองคำหลังจากนี้ น่าจะปรับตัวขึ้นเล็กน้อยในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้าจากความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนที่มีต่อการแก้ไขปัญหาหนี้สาธารณะของยุโรป และตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่จะทยอยประกาศในสัปดาห์นี้ ที่มีแนวโน้มค่อนข้างดี ดังนั้นคาดว่า ราคาทองคำน่าจะเคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 1,650-1,700USD/ออนซ์
ทั้งนี้ บลจ.แอสเซทพลัสรายงานสถานการณ์การเงินในยุโรปว่า ธนาคารกลางยุโรป(ECB) เตรียมดำเนินการแผน “Separation Principle” โดย ECB จะดำเนินการในด้านการเสริมสภาพคล่องให้กับระบบ ขณะที่เห็นว่าส่วนรัฐบาลของประเทศในกลุ่มยูโรโซนควรจะดำเนินการด้านเงินทุนให้กับสถาบันการเงินของตน ทั้งนี้ ECB ยืนยันว่าจะสร้างเสถียรภาพของตลาดการเงิน โดยเสริมสภาพคล่องให้อย่างไม่จำกัดจนถึงไตรมาส 3 ปี 2012 ผ่านแผนสร้างสภาพคล่องหลาย ๆ ด้าน ซึ่งรวมถึงการเข้าซื้อตราสารหนี้ (Covered Bond Purchase Program : CBPP2) ที่จะเริ่มในเดือน พ.ย. 2011 และสิ้นสุดเดือน ต.ค. 2012 เพื่อสนับสนุนเงินทุนให้กับสถาบันการเงินในระยะกลางด้วย
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการคาดการณ์แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือน พ.ย. คาดว่าจะต้องติดตามตัวเลขแนวโน้มเศรษฐกิจในยูโรโซน เช่น GDP และอัตราเงินเฟ้อ เป็นต้น ทั้งนี้ ตลาดคาดว่า น่าจะปรับลด 0.25%
ส่วนความเคลื่อนไหวของสถาบันการเงินในยุโรปนั้น ในส่วนธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ประกาศขยายเพดานมาตรการผ่อนคลายปริมาณเงิน (QE) ในการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาล จำนวน 75 พันล้านปอนด์มากกว่าที่คาดการณ์ที่ระดับ 50 พันล้านปอนด์ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ ซบเซา ขณะที่อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ BOE ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 0.5% ทั้งนี้ คาดว่าในช่วงกุมภาพันธ์ 2012 อังกฤษอาจมีมาตรการ QE เพิ่มเติม และอัตราดอกเบี้ยน่าจะคงอยู่ในระดับนี้จนถึงปี 2013
ในขณะที่ Moody’s ลดอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคารในอังกฤษ 12 แห่ง เช่น Royal Bank of Scotland (RBS), Lloyds TSB Bank, Santander UK , Co-Operative Bank เนื่องจากประเมินว่าการสนับสนุนภาคการเงินในอังกฤษจะไม่สามารถออกมาตรการช่วยเหลือการปรับโครงสร้างฐานทุนได้ นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างทบทวนอันดับความน่าเชื่อถือของเบลเยี่ยมซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ระดับ AA1 จากความเสี่ยงต่อการระดมทุนของสมาชิกสหภาพยุโรป(EU)และการปรับโครงสร้างทุนของระบบสถาบันการเงิน อย่างไรก็ตาม นายจอร์จ ออสบอร์น รมว.คลังอังกฤษ กล่าวว่า ธนาคารของอังกฤษมีเงินทุนมากเพียงพอ และมีสภาพคล่อง โดยธนาคารกลางอังกฤษจะอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่เศรษฐกิจมากขึ้น และแผนการลดยอดขาดดุลของรัฐบาลจะช่วยปกป้องอังกฤษจากวิกฤติหนี้ยูโรโซน ทั้งนี้ การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของ Moody’s เป็นเพียงแค่สะท้อนความเคลื่อนไหวของรัฐบาลที่หลีกเลี่ยงการต้องเข้าช่วยเหลือสถาบันเหล่านี้
เช่นเดียวกัน Fitch ลดอันดับความน่าเชื่อถือของอิตาลีและสเปน : อิตาลีลดลงจาก AA- เป็นA+ และสเปนลดจาก AA+ เป็น AA- โดยมีแนวโน้มเป็นลบทั้งสองประเทศ และอยู่ระหว่างทบทวนความน่าเชื่อถือของโปรตุเกส