บลจ.แอทเซทพลัส ชี้ราคาน้ำมัน-ทองคำ ยังผันผวนตามเศรษฐกิจโลก น้ำมันจ่อปรับในกรอบ 80-90 ดอลลาร์สรัฐต่อบาร์เรล หลังเศรษฐกิจโลกส่อถดถอย ขณะที่หุ้นไทยอยู่ในกรอบ 1,030-1,070 จุด แม้รับผลกระทบจากต่างประเทศ เหตุปัจจัยในประเทศยังช่วยหนุน ระบุหุ้นกลุ่ม ธนาคาร สื่อสาร ค้าปลีก ในDomestic Play ได้รับอานิสงส์ดีสุด ส่วนต่างประเทศยังไม่ฟื้น ทั้งเดือนน่าจะปรับตัวลดลงอีก
รายงานจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) แอสเซทพลัส เปิดเผยว่า แนวโน้มราคาน้ำมันสองสัปดาห์ข้างหน้าคาดว่า ราคาน้ำมันเวสต์ เทกซัส อินเตอร์มิเดียต ( WTI) น่าจะปรับตัวอยู่ในช่วง 80-90 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจากความกังวลการถดถอยของเศรษฐกิจโลก ประกอบกับ Fed มีนโยบายคงอัตราดอกเบี้ยต่ำ อีกทั้งค่าเงินดอลลาร์ยังคงมีแนวโน้มอ่อนค่าในระยะยาว
ขณะที่ราคาทองคำ ในสองสัปดาห์ที่ผ่านมาราคาทองคำมีความผันผวน และมาปิดที่ระดับ 1,870.18 USD/ออนซ์ ในปลายสัปดาห์ที่แล้ว โดยตลาดเริ่มมีความไม่แน่ใจในระดับราคาทองคำและกังวลในการขึ้นของราคาที่รวดเร็ว ซึ่งในสองสัปดาห์ข้างหน้า คาดราคาทองคำปรับตัวอยู่ในกรอบ 1,750-1,900USD/ออนซ์ เนื่องจากความกังวลการถดถอยของเศรษฐกิจโลก ประกอบกับ Fed มีนโยบายคงอัตราดอกเบี้ยต่ำจนถึงกลางปี 2556 อีกทั้งค่าเงินดอลลาร์สหรัฐยังคงมีแนวโน้มอ่อนค่าในระยะยาว และการเพิ่มขึ้นของปริมาณการสำรองทองคำของธนาคารกลางโดยเฉพาะกลุ่มประเทศเกิดใหม่ในภูมิภาคแนวโน้มการปรับตัวของกองทุน
ขณะที่ตลาดหุ้นไทยในช่วง 2 สัปดาห์นี้(12-23 กันยายน 2554) โดยในสัปดาห์นี้ SET Index น่าจะยังคงอยู่ในภาวะผันผวนตามตลาดหุ้นในต่างประเทศ แต่ยังมีปัจจัยในประเทศเป็นปัจจัยที่หนุนไม่ให้ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลดลงมากนัก ซึ่งคณะรัฐมนตรี จะมีการพิจารณาหลักการลดภาษีนิติบุคคล โครงการรถคันแรก บ้านหลังแรก จำนำข้าว และเงินเดือนข้าราชการ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อหุ้นในกลุ่มกลุ่มที่มีกำไรขึ้นลงตามปัจจัยในประเทศเป็นหลัก ซึ่งคาดว่าดัชนีหุ้นไทยจะเคลื่อนไหวในกรอบ1,030-1,070 จุด
ส่วนตลาดต่างประเทศน่าจะปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ Juergen Starckเจ้าหน้าที่ระดับสูงของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ลาออกจากตำแหน่งเพื่อคัดค้านโครงการซื้อพันธบัตรของ ECB ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการแก้ไขวิกฤติหนี้ยุโรปประกอบกับกับความกังวลว่าธนาคารในยุโรปอาจถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือหากกรีซผิดนัดชำระหนี้ นอกจากนี้ ในวันที่ 15 ก.ย. จะมีการประมูลพันธบัตรอิตาลีซึ่งแม้ว่าจะสามารถ rollover ได้ แต่ต้องจับตาดูอัตราดอกเบี้ยที่อาจสูงขึ้นมาก โดยคาดว่าดัชนี S&P500 น่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,130-1,180 จุด ขณะที่ดัชนี Hang Seng ของฮ่องกงน่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 18,700-19,300 จุด
รายงานจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) แอสเซทพลัส เปิดเผยว่า แนวโน้มราคาน้ำมันสองสัปดาห์ข้างหน้าคาดว่า ราคาน้ำมันเวสต์ เทกซัส อินเตอร์มิเดียต ( WTI) น่าจะปรับตัวอยู่ในช่วง 80-90 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจากความกังวลการถดถอยของเศรษฐกิจโลก ประกอบกับ Fed มีนโยบายคงอัตราดอกเบี้ยต่ำ อีกทั้งค่าเงินดอลลาร์ยังคงมีแนวโน้มอ่อนค่าในระยะยาว
ขณะที่ราคาทองคำ ในสองสัปดาห์ที่ผ่านมาราคาทองคำมีความผันผวน และมาปิดที่ระดับ 1,870.18 USD/ออนซ์ ในปลายสัปดาห์ที่แล้ว โดยตลาดเริ่มมีความไม่แน่ใจในระดับราคาทองคำและกังวลในการขึ้นของราคาที่รวดเร็ว ซึ่งในสองสัปดาห์ข้างหน้า คาดราคาทองคำปรับตัวอยู่ในกรอบ 1,750-1,900USD/ออนซ์ เนื่องจากความกังวลการถดถอยของเศรษฐกิจโลก ประกอบกับ Fed มีนโยบายคงอัตราดอกเบี้ยต่ำจนถึงกลางปี 2556 อีกทั้งค่าเงินดอลลาร์สหรัฐยังคงมีแนวโน้มอ่อนค่าในระยะยาว และการเพิ่มขึ้นของปริมาณการสำรองทองคำของธนาคารกลางโดยเฉพาะกลุ่มประเทศเกิดใหม่ในภูมิภาคแนวโน้มการปรับตัวของกองทุน
ขณะที่ตลาดหุ้นไทยในช่วง 2 สัปดาห์นี้(12-23 กันยายน 2554) โดยในสัปดาห์นี้ SET Index น่าจะยังคงอยู่ในภาวะผันผวนตามตลาดหุ้นในต่างประเทศ แต่ยังมีปัจจัยในประเทศเป็นปัจจัยที่หนุนไม่ให้ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลดลงมากนัก ซึ่งคณะรัฐมนตรี จะมีการพิจารณาหลักการลดภาษีนิติบุคคล โครงการรถคันแรก บ้านหลังแรก จำนำข้าว และเงินเดือนข้าราชการ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อหุ้นในกลุ่มกลุ่มที่มีกำไรขึ้นลงตามปัจจัยในประเทศเป็นหลัก ซึ่งคาดว่าดัชนีหุ้นไทยจะเคลื่อนไหวในกรอบ1,030-1,070 จุด
ส่วนตลาดต่างประเทศน่าจะปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ Juergen Starckเจ้าหน้าที่ระดับสูงของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ลาออกจากตำแหน่งเพื่อคัดค้านโครงการซื้อพันธบัตรของ ECB ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการแก้ไขวิกฤติหนี้ยุโรปประกอบกับกับความกังวลว่าธนาคารในยุโรปอาจถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือหากกรีซผิดนัดชำระหนี้ นอกจากนี้ ในวันที่ 15 ก.ย. จะมีการประมูลพันธบัตรอิตาลีซึ่งแม้ว่าจะสามารถ rollover ได้ แต่ต้องจับตาดูอัตราดอกเบี้ยที่อาจสูงขึ้นมาก โดยคาดว่าดัชนี S&P500 น่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,130-1,180 จุด ขณะที่ดัชนี Hang Seng ของฮ่องกงน่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 18,700-19,300 จุด