xs
xsm
sm
md
lg

กสิกรปันผลกองหุ้น-ทองคำ ชี้ปัญหายุโรปดันราคาทองขึ้นอีก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บลจ.กสิกรไทยเตรียมปันผล 2 กองทุน 14 กรกฎาคมนี้ เคหุ้นทุน จ่าย 1 บาทต่อหน่วย ส่วน เคโกลด์ จ่าย 0.20 บาทต่อหน่วย ระบุ ราคาทองคำระยะยาวส่อปรับอีก หลังปัญหาหนี้ยุโรปยังไม่คลี่คลาย และการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ

รายงานจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า คณะกรรมการพิจารณาการลงทุนของบริษัทได้มีมติให้จ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีชื่อในสมุดทะเบียน ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2554 ของกองทุนเปิด เค หุ้นทุน (K-EQUITY) และ เค โกลด์ (K-GOLD) ในวันที่ 14 กรกฎาคมนี้ โดยกองทุนเปิด เคหุ้นทุนจะทำการจ่ายปันผลในอัตรา 1 บาทต่อหน่วย ส่วน กองทุน เค โกลด์ จะทำการจ่ายปันผลในอัตรา 0.20 บาทต่อหน่วย

รายงานของบลจ.กสิกรไทยเปิดเผยว่า มุมมองระยะยาว บริษัทยังคงมีมุมมองที่เป็นบวกต่อราคาทองคำ ว่าจะสามารถปรับตัวขึ้นได้อีก จากปัจจัยเรื่องความกังวลต่อปัญหาหนี้ในภูมิภาคยุโรป และการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯอเมริกา จากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับต่ำ และการที่ภูมิภาคในตลาดเกิดใหม่น่าจะมีการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายในประเทศเพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นขึ้น ทำให้ทองคำ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ไม่เสียมูลค่าตามเงินเฟ้อ จะมีความต้องการเพิ่มมากขึ้น แต่ในระยะสั้น ก็จะยังคงผันผวนอยู่ในช่วงระหว่าง 1350 - 1550 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์

ขณะที่ราคาน้ำมัน หลังจากสถานการณ์ในภูมิภาคตะวันออกกลางเริ่มคลี่คลายมากขึ้น ประกอบกับตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาไม่ดีนัก ทำให้ความต้องการน้ำมันมีแนวโน้มลดลง จึงมีสิทธิที่จะปรับตัวลดลงได้อีกในช่วงสั้น อย่างไรก็ดี จำเป็นต้องจับตาดูสถานการณ์ในลิเบีย ที่ยังคงคุกรุ่นอยู่ ว่าจะส่งผลต่อปริมาณน้ำมันหรือไม่ ประกอบกับตัวเลขในสหรัฐฯ และจีน ซึ่งเป็นผู้บริโภคน้ำมันรายใหญ่ของโลก หากมีแนวโน้มดีขึ้น ราคาน้ำมันก็อาจจะมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้อีก

ทั้งนี้ จากการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถืออย่างต่อเนื่อง สถานการณ์ในกรีซก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีความคลี่คลายขึ้นเท่าใดนัก เนื่องจากยังไม่ได้มีการบรรลุข้อตกลงในการให้ความช่วยเหลือกรีซทางด้านการเงินจากธนาคารกลางยุโรป ส่งผลให้กรีซ อยู่ในสถานะเสี่ยงที่จะเป็นประเทศแรกในกลุ่มสหภาพยุโรป ที่จะมีการผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งจะกระทบต่อความน่าเชื่อถือของกลุ่มประเทศที่ใช้สกุลเงินยูโรทั้งหมด

นอกจากนี้ ผลกระทบจากปัญหากรีซ ก็ยังส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในวงกว้าง โดยนักลงทุนต่างก็เกิดความกังวลว่า สถานการณ์ในกรีซจะลุกลามไปยังประเทศอื่นๆในยุโรปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งประสบกับปัญหาหนี้ในประเทศเช่นเดียวกัน เช่นไอร์แลนด์ โปรตุเกส และสเปน โดยเฉพาะสองประเทศหลัง ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่กว่ากรีซและไอร์แลนด์มาก และยังลุกลามไปยังแนวโน้มการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสถาบันการเงินในฝรั่งเศสที่มีปริมาณธุรกิจในกรีซค่อนข้างสูงเช่น BNP Paribas, Societe Generale หรือ Credit Agricole ด้วย ส่งผลให้ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลดลงเป็นอย่างมาก รวมไปถึงกดดันให้ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลง และผลักดันให้ดอลล่าร์แข็งขึ้น

นอกจากตลาดหุ้นแล้ว ผลกระทบจากกรีซยังส่งผลไปถึงสินค้าโภคภัณฑ์ ได้แก่ทองคำ และน้ำมันด้วย โดยทองคำได้รับผลในทางบวกจากการที่นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจยุโรป ซึ่งอาจจะส่งผลต่อเศรษฐกิจโลก ทำให้ทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย มีความต้องการมากขึ้น โดยราคาทองคำได้ปรับตัวขึ้นจากสัปดาห์ที่แล้วมาอยู่ที่ระดับประมาณ 1,540ดอลล่าร์สหรัฐฯต่อออนซ์ซึ่งสูงที่สุดในรอบประมาณ 2 สัปดาห์ เป็นผลให้ราคาทองคำในประเทศไทย ปรับตัวขึ้นไปทำระดับสูงสุดตลอดกาล จากการที่ค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯแข็งค่าขึ้น ทำให้ราคาทองคำของสมาคมค้าทองคำแห่งประเทศไทย ขึ้นมาอยู่ที่ 22,350 บาท ต่อน้ำหนักทองคำ 1 บาท

ในส่วนของน้ำมัน ปัญหาหนี้ในกรีซ ได้ก่อให้เกิดความกังวลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะยุโรป ซึ่งจะทำให้ความต้องการบริโภคน้ำมันในยุโรปปรับลดลง ทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา โดยราคาน้ำมันปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องจากระดับเหนือ 100 ดอลล่าร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 93 - 94 ดอลล่าสหรัฐฯต่อบาร์เรลนอกจากหุ้นในยุโรปแล้ว หุ้นในภูมิภาคเอเชีย รวมไปถึงไทย ต่างก็ปรับตัวลงทั่วหน้า โดยปัจจัยหลักก็ยังมาจากสถานการณ์ในกรีซที่ทำให้นักลงทุนกังวล
กำลังโหลดความคิดเห็น