ASTVผู้จัดการรายวัน - บลจ.กสิกรไทย ประเมินสถานการณ์หนี้กรีซ กระทบความเชื่อมั่นวงกว้าง โดยเฉพาะต่างชาติที่เกรงจะลุกลามทั่วยุโรป พร้อมห่วงสถานของแบงก์ที่ทำธุรกรรมในกรีซด้วย เผยกองทุนในพอร์ต ทั้ง "น้ำมัน-ทอง-หุ้น" แม้จะผันผวนตามข่าว แต่ระยะยาวยังดี
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยรายงานเกี่ยวกับปัญหาหนี้ของประเทศกรีซว่า หลังจากที่โดนปรับลดอันดับความน่าเชื่อถืออย่างต่อเนื่อง สถานการณ์ในกรีซก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีความคลี่คลายขึ้นเท่าใดนัก เนื่องจากยังไม่ได้มีการบรรลุข้อตกลงในการให้ความช่วยเหลือกรีซทางด้านการเงินจากธนาคารกลางยุโรป ส่งผลให้กรีซ อยู่ในสถานะเสี่ยงที่จะเป็นประเทศแรกในกลุ่มสหภาพยุโรป ที่จะมีการผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งจะกระทบต่อความน่าเชื่อถือของกลุ่มประเทศที่ใช้สกุลเงินยูโรทั้งหมด
นอกจากนี้ ผลกระทบจากปัญหากรีซ ก็ยังส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในวงกว้าง โดยนักลงทุนต่างก็เกิดความกังวลว่า สถานการณ์ในกรีซจะลุกลามไปยังประเทศอื่นๆในยุโรปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งประสบกับปัญหาหนี้ในประเทศเช่นเดียวกัน เช่นไอร์แลนด์ โปรตุเกส และสเปน โดยเฉพาะสองประเทศหลัง ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่กว่ากรีซและไอร์แลนด์มาก และยังลุกลามไปยังแนวโน้มการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสถาบันการเงินในฝรั่งเศสที่มีปริมาณธุรกิจในกรีซค่อนข้างสูง เช่น BNP Paribas, Societe Generale หรือ Credit Agricole ด้วย ส่งผลให้ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลดลงเป็นอย่างมาก รวมไปถึงกดดันให้ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลง และผลักดันให้ดอลล่าร์แข็งขึ้น
นอกจากตลาดหุ้นแล้ว ผลกระทบจากกรีซยังส่งผลไปถึงสินค้าโภคภัณฑ์ ได้แก่ทองคำ และน้ำมันด้วย โดยทองคำได้รับผลในทางบวกจากการที่นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจยุโรป ซึ่งอาจจะส่งผลต่อเศรษฐกิจโลก ทำให้ทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย มีความต้องการมากขึ้น โดยราคาทองคำได้ปรับตัวขึ้นจากสัปดาห์ที่แล้วมาอยู่ที่ระดับประมาณ 1,540 ดอลล่าร์สหรัฐฯต่อออนซ์ซึ่งสูงที่สุดในรอบประมาณ 2 สัปดาห์ เป็นผลให้ราคาทองคำในประเทศไทย ปรับตัวขึ้นไปทำระดับสูงสุดตลอดกาล จากการที่ค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯแข็งค่าขึ้น ทำให้ราคาทองคำของสมาคมค้าทองคำแห่งประเทศไทย ขึ้นมาอยู่ที่ 22,350 บาท ต่อน้ำหนักทองคำ 1 บาท
ในส่วนของน้ำมัน ปัญหาหนี้ในกรีซ ได้ก่อให้เกิดความกังวลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะยุโรป ซึ่งจะทำให้ความต้องการบริโภคน้ำมันในยุโรปปรับลดลง ทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา โดยราคาน้ำมันปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องจากระดับเหนือ 100 ดอลล่าร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 93 - 94 ดอลล่าสหรัฐฯต่อบาร์เรล
นอกจากหุ้นในยุโรปแล้ว หุ้นในภูมิภาคเอเชีย รวมไปถึงไทย ต่างก็ปรับตัวลงทั่วหน้า โดยปัจจัยหลักก็ยังมาจากสถานการณ์ในกรีซที่ทำให้นักลงทุนกังวล ส่วนไทย ปัจจัยหลักกดดันมาจากความไม่แน่นอนในทางการเมืองและผลการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้น ทำให้ปรับตัวลดลงมา
ในส่วนของกองทุนของ บลจ.กสิกรไทย กองทุนเปิด K-GOLD ในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา (13 - 20 มิถุนายน 2554) มีผลการดำเนินงานเป็นบวกประมาณ 0.90% ไปในทิศทางเดียวกันกับทองคำโลกที่ปรับตัวขึ้นประมาณ 0.80% แต่เมื่อเทียบกับราคาทองคำแท่งที่ประกาศจากสมาคมผู้ค้าทองคำฯ พบว่าราคาทองคำในประเทศมีการปรับตัวขึ้นมากกว่า โดยอยู่ที่ 1.10% อันเป็นผลมาจากการที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี แนวโน้มในระยะยาว เชื่อว่า หากสถานการณ์กรีซคลี่คลาย ดอลล่าร์สหรัฐจะยังคงมีแนวโน้มที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินบาท ทำให้กองทุน K-GOLD ซึ่งมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน น่าจะได้รับผลดีมากกว่าในระยะยาว
สำหรับกองทุน K-OIL นั้น ในช่วงตั้งแต่วันที่ 13 - 20 มิถุนายน 2554 มีผลการดำเนินงานติดลบประมาณ 3.47% ในขณะที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลงกว่า 4% ทั้งนี้ เนื่องจากกองทุนหลักของ K-OIL คือ PowerShares DB Oil Fund (DBO) นั้น ไม่ได้ลงทุนในน้ำมันดิบโดยตรง แต่จะไปลงในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า โดยปัจจุบัน กองทุน DBO ลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่จะครบกำหนดอายุในเดือนมิถุนายน 2555 ซึ่งจะมีการเคลื่อนไหวที่แกว่งตัวน้อยกว่าราคาน้ำมันดิบปัจจุบัน (ทั้งขาขึ้น และขาลง) จึงทำให้การเคลื่อนไหวของ K-OIL ปรับตัวลดลงน้อยกว่าราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก
ทั้งนี้ ในด้านมุมมองระยะยาว ยังคงมีมุมมองที่เป็นบวกต่อราคาทองคำ ว่าจะสามารถปรับตัวขึ้นได้อีก จากปัจจัยเรื่องความกังวลต่อปัญหาหนี้ในภูมิภาคยุโรป และการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯอเมริกา จากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับต่ำ และการที่ภูมิภาคในตลาดเกิดใหม่น่าจะมีการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายในประเทศเพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นขึ้น ทำให้ทองคำ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ไม่เสียมูลค่าตามเงินเฟ้อ จะมีความต้องการเพิ่มมากขึ้น แต่ในระยะสั้น ก็จะยังคงผันผวนอยู่ในช่วงระหว่าง 1350 - 1550 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์
ในส่วนของน้ำมัน หลังจากสถานการณ์ในภูมิภาคตะวันออกกลางเริ่มคลี่คลายมากขึ้น ประกอบกับตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาไม่ดีนัก ทำให้ความต้องการน้ำมันมีแนวโน้มลดลง จึงมีสิทธิที่จะปรับตัวลดลงได้อีกในช่วงสั้น อย่างไรก็ดี จำเป็นต้องจับตาดูสถานการณ์ในลิเบีย ที่ยังคงคุกรุ่นอยู่ ว่าจะส่งผลต่อปริมาณน้ำมันหรือไม่ ประกอบกับตัวเลขในสหรัฐฯ และจีน ซึ่งเป็นผู้บริโภคน้ำมันรายใหญ่ของโลก หากมีแนวโน้มดีขึ้น ราคาน้ำมันก็อาจจะมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้อีก
ที่มา : บลจ.กสิกรไทย
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยรายงานเกี่ยวกับปัญหาหนี้ของประเทศกรีซว่า หลังจากที่โดนปรับลดอันดับความน่าเชื่อถืออย่างต่อเนื่อง สถานการณ์ในกรีซก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีความคลี่คลายขึ้นเท่าใดนัก เนื่องจากยังไม่ได้มีการบรรลุข้อตกลงในการให้ความช่วยเหลือกรีซทางด้านการเงินจากธนาคารกลางยุโรป ส่งผลให้กรีซ อยู่ในสถานะเสี่ยงที่จะเป็นประเทศแรกในกลุ่มสหภาพยุโรป ที่จะมีการผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งจะกระทบต่อความน่าเชื่อถือของกลุ่มประเทศที่ใช้สกุลเงินยูโรทั้งหมด
นอกจากนี้ ผลกระทบจากปัญหากรีซ ก็ยังส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในวงกว้าง โดยนักลงทุนต่างก็เกิดความกังวลว่า สถานการณ์ในกรีซจะลุกลามไปยังประเทศอื่นๆในยุโรปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งประสบกับปัญหาหนี้ในประเทศเช่นเดียวกัน เช่นไอร์แลนด์ โปรตุเกส และสเปน โดยเฉพาะสองประเทศหลัง ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่กว่ากรีซและไอร์แลนด์มาก และยังลุกลามไปยังแนวโน้มการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสถาบันการเงินในฝรั่งเศสที่มีปริมาณธุรกิจในกรีซค่อนข้างสูง เช่น BNP Paribas, Societe Generale หรือ Credit Agricole ด้วย ส่งผลให้ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลดลงเป็นอย่างมาก รวมไปถึงกดดันให้ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลง และผลักดันให้ดอลล่าร์แข็งขึ้น
นอกจากตลาดหุ้นแล้ว ผลกระทบจากกรีซยังส่งผลไปถึงสินค้าโภคภัณฑ์ ได้แก่ทองคำ และน้ำมันด้วย โดยทองคำได้รับผลในทางบวกจากการที่นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจยุโรป ซึ่งอาจจะส่งผลต่อเศรษฐกิจโลก ทำให้ทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย มีความต้องการมากขึ้น โดยราคาทองคำได้ปรับตัวขึ้นจากสัปดาห์ที่แล้วมาอยู่ที่ระดับประมาณ 1,540 ดอลล่าร์สหรัฐฯต่อออนซ์ซึ่งสูงที่สุดในรอบประมาณ 2 สัปดาห์ เป็นผลให้ราคาทองคำในประเทศไทย ปรับตัวขึ้นไปทำระดับสูงสุดตลอดกาล จากการที่ค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯแข็งค่าขึ้น ทำให้ราคาทองคำของสมาคมค้าทองคำแห่งประเทศไทย ขึ้นมาอยู่ที่ 22,350 บาท ต่อน้ำหนักทองคำ 1 บาท
ในส่วนของน้ำมัน ปัญหาหนี้ในกรีซ ได้ก่อให้เกิดความกังวลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะยุโรป ซึ่งจะทำให้ความต้องการบริโภคน้ำมันในยุโรปปรับลดลง ทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา โดยราคาน้ำมันปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องจากระดับเหนือ 100 ดอลล่าร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 93 - 94 ดอลล่าสหรัฐฯต่อบาร์เรล
นอกจากหุ้นในยุโรปแล้ว หุ้นในภูมิภาคเอเชีย รวมไปถึงไทย ต่างก็ปรับตัวลงทั่วหน้า โดยปัจจัยหลักก็ยังมาจากสถานการณ์ในกรีซที่ทำให้นักลงทุนกังวล ส่วนไทย ปัจจัยหลักกดดันมาจากความไม่แน่นอนในทางการเมืองและผลการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้น ทำให้ปรับตัวลดลงมา
ในส่วนของกองทุนของ บลจ.กสิกรไทย กองทุนเปิด K-GOLD ในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา (13 - 20 มิถุนายน 2554) มีผลการดำเนินงานเป็นบวกประมาณ 0.90% ไปในทิศทางเดียวกันกับทองคำโลกที่ปรับตัวขึ้นประมาณ 0.80% แต่เมื่อเทียบกับราคาทองคำแท่งที่ประกาศจากสมาคมผู้ค้าทองคำฯ พบว่าราคาทองคำในประเทศมีการปรับตัวขึ้นมากกว่า โดยอยู่ที่ 1.10% อันเป็นผลมาจากการที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี แนวโน้มในระยะยาว เชื่อว่า หากสถานการณ์กรีซคลี่คลาย ดอลล่าร์สหรัฐจะยังคงมีแนวโน้มที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินบาท ทำให้กองทุน K-GOLD ซึ่งมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน น่าจะได้รับผลดีมากกว่าในระยะยาว
สำหรับกองทุน K-OIL นั้น ในช่วงตั้งแต่วันที่ 13 - 20 มิถุนายน 2554 มีผลการดำเนินงานติดลบประมาณ 3.47% ในขณะที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลงกว่า 4% ทั้งนี้ เนื่องจากกองทุนหลักของ K-OIL คือ PowerShares DB Oil Fund (DBO) นั้น ไม่ได้ลงทุนในน้ำมันดิบโดยตรง แต่จะไปลงในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า โดยปัจจุบัน กองทุน DBO ลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่จะครบกำหนดอายุในเดือนมิถุนายน 2555 ซึ่งจะมีการเคลื่อนไหวที่แกว่งตัวน้อยกว่าราคาน้ำมันดิบปัจจุบัน (ทั้งขาขึ้น และขาลง) จึงทำให้การเคลื่อนไหวของ K-OIL ปรับตัวลดลงน้อยกว่าราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก
ทั้งนี้ ในด้านมุมมองระยะยาว ยังคงมีมุมมองที่เป็นบวกต่อราคาทองคำ ว่าจะสามารถปรับตัวขึ้นได้อีก จากปัจจัยเรื่องความกังวลต่อปัญหาหนี้ในภูมิภาคยุโรป และการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯอเมริกา จากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับต่ำ และการที่ภูมิภาคในตลาดเกิดใหม่น่าจะมีการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายในประเทศเพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นขึ้น ทำให้ทองคำ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ไม่เสียมูลค่าตามเงินเฟ้อ จะมีความต้องการเพิ่มมากขึ้น แต่ในระยะสั้น ก็จะยังคงผันผวนอยู่ในช่วงระหว่าง 1350 - 1550 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์
ในส่วนของน้ำมัน หลังจากสถานการณ์ในภูมิภาคตะวันออกกลางเริ่มคลี่คลายมากขึ้น ประกอบกับตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาไม่ดีนัก ทำให้ความต้องการน้ำมันมีแนวโน้มลดลง จึงมีสิทธิที่จะปรับตัวลดลงได้อีกในช่วงสั้น อย่างไรก็ดี จำเป็นต้องจับตาดูสถานการณ์ในลิเบีย ที่ยังคงคุกรุ่นอยู่ ว่าจะส่งผลต่อปริมาณน้ำมันหรือไม่ ประกอบกับตัวเลขในสหรัฐฯ และจีน ซึ่งเป็นผู้บริโภคน้ำมันรายใหญ่ของโลก หากมีแนวโน้มดีขึ้น ราคาน้ำมันก็อาจจะมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้อีก
ที่มา : บลจ.กสิกรไทย