บลจ. ธนชาต โชว์ผลงาน 6 เดือน ติดลบอยู่ 2,032 ล้านบาท เมื่อเทียบช่วงสิ้นปี 2553 มีอยู่ที่ 93,556 ล้านบาท หลังแบงก์รัฐและแบงก์พาณิชย์ระดมจัดแคมเปญแรงแย่งชิงลูกค้า ล่าสุดเปิดตัวรูปแบบการลงทุนใหม่ผสมพอร์ตการลงทุน 6 ระดับความเสี่ยงให้เลือกสรร หวังดันเป้าเพิ่มได้สิ้นปี 100,000 ล้านบาท
นายบุญชัย เกียรติธนาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) ธนชาต จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วงระยะ 6 เดือนที่ผ่านมากองทุนรวมมีเอ็นเอวีอยู่ทั้งสิ้น 77,807 ล้านบาท ซึ่งเมื่อเทียบกับสิ้นปี 2553 มีอยู่ที่ 79,839 ล้านบาท ส่วนกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เอ็นเอวีอยู่ที่ 5,271 ล้านบาท เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2553 อยู่ที่ 5,030 ล้านบาท ขณะที่กองทุนรวมส่วนบุคคลเอ็นเอวีอยู่ที่ 8,437 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงสิ้นปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 8,687 ล้านบาท ซึ่งรวมทั้ง 3 ธุรกิจมีจำนวนทั้งสิ้น 91,514 ล้านบาท ถือว่าติดลบอยู่ประมาณ 2,032 ล้านบาท เมื่อเทียบกับยอดช่วงสิ้นปี 2553 ที่มีอยู่ 93,556 ล้านบาท
ทั้งนี้สาเหตุที่ยอดติดลบ เนื่องมาจากปัจจุบันการแข่งขันของธุรกิจกองทุนรวมทำได้ยากมาก เมื่อเทียบกับการแข่งขันของธนาคารต่าง ๆ ทั้งของภาครัฐและเอกชนที่ต่างออกมาแข่งกันอย่างดุเดือด ส่งผลให้ผลตอบแทนในตราสารหนี้ยังไม่ค่อยจูงใจนักลงทุนมากนัก หรืออาจจะมาลงทุนได้ไม่เต็ม 100% ถ้าธนาคารต่างยังมีการแข่งขันกันอยู่ก็จะทำให้มีผลกระทบต่อบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ต่าง ๆ ได้ แต่อย่างไรก็ตามในช่วงสิ้นปีนี้บริษัทยังตั้งเป้าไว้การเติบโตไว้ที่ 100,000 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากการตั้งเป้าการเติบโตเดิมที่ 120,000 ล้านบาท แต่ ณ ขณะนี้เป้าที่ได้ตั้งไว้คาดว่าน่าจะได้ตามเป้า
“ตอนนี้จะเห็นได้ว่าทั้งแบงก์รัฐและเอกชนเองต่างออกโปรโมชั่น เงินฝากกันอย่างดุเดือด ซึ่งการออกโปรโมชั่นแบบนี้มีติดต่อยาวนานมาเป็นเวลากว่า 3 - 4 เดือนแล้ว ถือว่าเป็นผลกระทบที่แรงมากต่อธุรกิจกองทุนรวม” นายบุญชัย กล่าว
นายบุญชัยกล่าวต่อไปว่า หลังจากที่ ก.ล.ต. ได้ออกกฎให้มีการให้ทำแบบสอบถามก่อนการลงทุนนั้น บริษัทจึงจัดทำกลยุทธทางการตลาดใหม่เพื่อนำเสนอให้กับนักลงทุนทั่วไปได้เข้ามาลงทุนง่ายขึ้น โดยการโปรโมทการใช้ Asset Allocation ให้เป็นกลยุทธ์หลักของผู้ลงทุน และสามารถรับความผันผวนของการลงทุนในอนาคตได้
ทั้งนี้รูปแบบการลงทุนดังกล่าวจะเป็นแบบสำเร็จรูปในการผสมกองทุนทั้งในประเทศ ต่างประเทศและกองทุนรวมทองคำเข้าด้วยกัน โดยจะมีการกระจายความเสี่ยงแบ่งออกทั้งสิ้นเป็น 6 ระดับ ได้แก่ 1. ความเสี่ยงต่ำมาก 2. ความเสี่ยงต่ำ 3. ความเสี่ยงปานกลางค่อนข้างต่ำ 4. ความเสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง 5. ความเสี่ยงสูง และ 6 ความเสี่ยงสูงมาก และในแต่ละความเสี่ยงจะแยกรูปแบบการลงทุนออกไปให้นักลงทุนได้เลือกเข้าไปลงทุนอีกประมาณ 3 ประเภท เพื่อเป็นการให้ตรงใจกับการลงทุนของลูกค้ามากที่สุด และผลตอบแทนที่จะได้รับ
โดยคอนเซปในการลงทุนแบบแอสเซทที่ผสมกันจะมีผลดีต่อนักลงทุนทั่วไป เพราะเมื่อเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นมาการลงทุนจะไม่กระทบหมด เนื่องจากแต่ละพอร์ตได้มีการกระจายความเสี่ยงไว้แล้ว คอนเซปในการผสมพอร์ตของนักลงทุนแบบนี้จะสามารถให้ผลตอบแทนที่ไม่แย่สุด และก็ไม่ได้ดีมาก แต่มันจะเหมาะกับนักลงทุนทั่วไปที่ไม่ค่อยรู้เรื่องด้านการลงทุนมาก ซึ่งถือว่าดีกว่าการฝากเงินธรรมดา ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีการเปิดตัวไปบ้างแล้วใน 60 สาขาที่มีศักยภาพในการขายกองทุนในกทม. และปริมณฑล
กรรมการผู้จัดการ กล่าวต่อไปอีกว่า กองทุนที่บริษัทขาดอยู่และกำลังสนใจที่เข้าไปลงทุนคือ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนหุ้นต่างประเทศ เช่นของจีน และยูเอส ขณะที่กองทุนรวมที่เป็นประเภทคอมมอดิตี้ที่ไม่ใช่ทองคำก็ยังมีความสนใจอยู่มาก แต่คาดว่าคงจะไม่ใช่เร็วที่นี้ที่จะมี คงต้องรอพิจารณาจากหลายฝ่ายก่อน