กูรู ชี้ เศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังยังเจอปัญหาเงินเฟ้อ รวมถึงปัจจัยต่างประเทศจาก เรื่องหนี้ยุโรปและในสหรัฐฯ ระบุ ขึ้นค่าแรง บริษัท กลุ่มแบงก์ พลังงานรับผลดีเต็มๆ แต่กระทบบริษัทออก พร้อมแนะรัฐบาลลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อกระตุ้นการจ้างงานและค่าแรง
นายสมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทหารไทย จำกัด เปิดเผยถึง ทางเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังว่า ในช่วงที่ผ่านมาผลปนะกอบการของบริษัทจดทะเบียนต่างๆยังมีผลประกอบการที่ดี ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดี ขณะที่ปัญหาเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทางแบงก์ชาติก็ยังคงจับตามองอยู่ ซึ่งหากเงินเฟ้อปรับตัวขึ้นมากและทำให้อัตราดอกเบี้ยขึ้นตามไปด้วยนั้นน่าจะเห็นเงินไหลเข้ามาลงทุนมาก ขณะที่ปัจจัยทางการเมืองนั้น เราได้เห็นความีเสถียรภาพแล้ในช่วงหนึ่ง จึงเชื่อว่าปัจจัยเสี่ยงจากการเมืองในประเทศน่าจะน้อยลง แต่มองว่าเศรษฐกิจโลกในขณะนี้จะมีผลกระทบต่อการลงทุนมากกว่าและมีผลกระทบต่อเรื่องของการทำกำไร
นายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เศรษฐกิจของไทยและเอเชียยังมีปัญหาในเรื่องของอัตราเงินเฟ้ออยู่ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ โดยรัฐบาลยังต้องควบคุมเงินเฟ้อในช่วงครึ่งปีหลังแบะคาดว่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก ขณะที่ความเสี่ยงจากปัจจัยต่างประเทศนั้น คือ การที่เศรษฐกิจของสหรัฐฯที่ยังไม่ได้เติบโตดีนักโดยที่ยังมีปัญหาในเรื่องของการลดหนี้ แต่หลักๆ ยังคงเป็นเรื่องของเงินเฟ้อในเอเชีย ทั้งนี้ปัญหาที่ต้องจับตามองในครึ่งปีหลังคือ แบงก์ชาติจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากหรือไม่ รวมถึงปัญหาหนี้ในยุโรปจะรุนแรงขึ้นมาอีกหรือไม่ แต่สินทรัพย์ที่ยังน่าลงทุนคือ หุ้น ตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนจากดอกเบี้ยที่สูง และทองคำที่ยังน่าลงทุนเมื่อเกิดความกัวต่อปัญหาเศรษฐกิจ
นอกจากนี้สิ่งที่รัฐบาลใหม่ควรทำคือการลงทุนที่ให้เกิดการจ้างงานซึ่งปัจจุบันการลงทุนในประเทศนั้นอยู่ในระดับที่ไม่สูงการขึ้นการจ้างงานและการขึ้นเงินเดือนจึงไม่สูงขึ้น ซึ่งถ้ารัฐบาลสามารถลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศได้จะส่งผลดีต่อการจ้างงานและการขึ้นเงินเดือนรวมถึงผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่จะดีขึ้นตามไปด้วย
ด้าน นายไพบูลย์ นลินทรางกูล ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทยและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล. ทิศโก้ จำกัด กล่าวว่า ปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังยังคงเป็นปัจจัยในต่างประเทศมากกว่า โดยในเรื่องของวิกฤตหนี้ในยุโรปซึ่งในขณะนี้ประเทศในยุโรปพยายามควบคุมไม่ให้ปัญหาลุกลามมาถึงเศรษฐกิจของ อิตาลี และสเปน เพราะเป็นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของยุโรป ขณะที่ กรีซ นั้นจะต้องแก้ปัญหาไปอีกนาน แต่ปัญหาหนี้ของยุโรปนั้นส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยน้อยมาก
ขณะที่ นาย นิเศน์ เหมวชิรวรากร ผู้เชี่ยวชาญการลงทุน กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมาไม่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยทางการเมืองมากนัก แต่ราคาหุ้นจะได้รับจากการปรับขึ้นลงของผลประกอบการของบริษัทเป็นส่วนใหญ่ โดยในช่วงปี 2552 ช่วงที่มีปัญหาทางการเมืองบริษัทจดทะเบียนมีกำไรเพิ่มขึ้น 48% ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 60% และเมื่อปี 2553 บริษัทจดทะเบียนมีกำไร 35% ราคาหุ้นปรับขึ้นถึง 40% ซึ่งสะท้อนว่าปัจจัยทางการเมืองนั้นส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นน้อยมาก
ขณะเดียวกันยังกล่าวถึงนโยบายของรัฐบาลใหม่ ในเรื่องการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทและการลดภาษีนั้น บริษัทที่จะได้ประโยชน์ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่ม แบงก์ พลังงาน เพราะได้ลดภาษีจำนวนมาก ขณะที่บริษัทที่ได้รับผลกระทบคือ บริษัทที่ส่งออก เพราะไม่สามารถปรับราคาขึ้นตามไปได้ แต่บริษัทที่ส่งออกสินค้าในประเทศยังสามารถปรับขึ้นราคาเพื่อแข่งขันกันได้ แต่ก็จะเกิดเงินเฟ้อตามมาเช่นกัน
นายสมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทหารไทย จำกัด เปิดเผยถึง ทางเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังว่า ในช่วงที่ผ่านมาผลปนะกอบการของบริษัทจดทะเบียนต่างๆยังมีผลประกอบการที่ดี ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดี ขณะที่ปัญหาเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทางแบงก์ชาติก็ยังคงจับตามองอยู่ ซึ่งหากเงินเฟ้อปรับตัวขึ้นมากและทำให้อัตราดอกเบี้ยขึ้นตามไปด้วยนั้นน่าจะเห็นเงินไหลเข้ามาลงทุนมาก ขณะที่ปัจจัยทางการเมืองนั้น เราได้เห็นความีเสถียรภาพแล้ในช่วงหนึ่ง จึงเชื่อว่าปัจจัยเสี่ยงจากการเมืองในประเทศน่าจะน้อยลง แต่มองว่าเศรษฐกิจโลกในขณะนี้จะมีผลกระทบต่อการลงทุนมากกว่าและมีผลกระทบต่อเรื่องของการทำกำไร
นายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เศรษฐกิจของไทยและเอเชียยังมีปัญหาในเรื่องของอัตราเงินเฟ้ออยู่ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ โดยรัฐบาลยังต้องควบคุมเงินเฟ้อในช่วงครึ่งปีหลังแบะคาดว่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก ขณะที่ความเสี่ยงจากปัจจัยต่างประเทศนั้น คือ การที่เศรษฐกิจของสหรัฐฯที่ยังไม่ได้เติบโตดีนักโดยที่ยังมีปัญหาในเรื่องของการลดหนี้ แต่หลักๆ ยังคงเป็นเรื่องของเงินเฟ้อในเอเชีย ทั้งนี้ปัญหาที่ต้องจับตามองในครึ่งปีหลังคือ แบงก์ชาติจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากหรือไม่ รวมถึงปัญหาหนี้ในยุโรปจะรุนแรงขึ้นมาอีกหรือไม่ แต่สินทรัพย์ที่ยังน่าลงทุนคือ หุ้น ตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนจากดอกเบี้ยที่สูง และทองคำที่ยังน่าลงทุนเมื่อเกิดความกัวต่อปัญหาเศรษฐกิจ
นอกจากนี้สิ่งที่รัฐบาลใหม่ควรทำคือการลงทุนที่ให้เกิดการจ้างงานซึ่งปัจจุบันการลงทุนในประเทศนั้นอยู่ในระดับที่ไม่สูงการขึ้นการจ้างงานและการขึ้นเงินเดือนจึงไม่สูงขึ้น ซึ่งถ้ารัฐบาลสามารถลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศได้จะส่งผลดีต่อการจ้างงานและการขึ้นเงินเดือนรวมถึงผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่จะดีขึ้นตามไปด้วย
ด้าน นายไพบูลย์ นลินทรางกูล ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทยและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล. ทิศโก้ จำกัด กล่าวว่า ปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังยังคงเป็นปัจจัยในต่างประเทศมากกว่า โดยในเรื่องของวิกฤตหนี้ในยุโรปซึ่งในขณะนี้ประเทศในยุโรปพยายามควบคุมไม่ให้ปัญหาลุกลามมาถึงเศรษฐกิจของ อิตาลี และสเปน เพราะเป็นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของยุโรป ขณะที่ กรีซ นั้นจะต้องแก้ปัญหาไปอีกนาน แต่ปัญหาหนี้ของยุโรปนั้นส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยน้อยมาก
ขณะที่ นาย นิเศน์ เหมวชิรวรากร ผู้เชี่ยวชาญการลงทุน กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมาไม่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยทางการเมืองมากนัก แต่ราคาหุ้นจะได้รับจากการปรับขึ้นลงของผลประกอบการของบริษัทเป็นส่วนใหญ่ โดยในช่วงปี 2552 ช่วงที่มีปัญหาทางการเมืองบริษัทจดทะเบียนมีกำไรเพิ่มขึ้น 48% ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 60% และเมื่อปี 2553 บริษัทจดทะเบียนมีกำไร 35% ราคาหุ้นปรับขึ้นถึง 40% ซึ่งสะท้อนว่าปัจจัยทางการเมืองนั้นส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นน้อยมาก
ขณะเดียวกันยังกล่าวถึงนโยบายของรัฐบาลใหม่ ในเรื่องการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทและการลดภาษีนั้น บริษัทที่จะได้ประโยชน์ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่ม แบงก์ พลังงาน เพราะได้ลดภาษีจำนวนมาก ขณะที่บริษัทที่ได้รับผลกระทบคือ บริษัทที่ส่งออก เพราะไม่สามารถปรับราคาขึ้นตามไปได้ แต่บริษัทที่ส่งออกสินค้าในประเทศยังสามารถปรับขึ้นราคาเพื่อแข่งขันกันได้ แต่ก็จะเกิดเงินเฟ้อตามมาเช่นกัน