xs
xsm
sm
md
lg

"โอบองแปง"อัดแหลก300บาท หวั่นลามธุรกิจอาหารปิดกิจการ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน สะเทือนธุรกิจอาหาร “โอ บอง แปง” เชื่อกระทบถึงขั้นปิดกิจการ ส่อแววต่างชาติเมินลงทุนในระยะยาว ล่าสุดพบตลาดโต ผุดสาขาเพิ่มอีก 7 สาขา มั่นใจทั้งปีเติบโต 20%

นายนาดิม ซาเวียร์ ซาลฮานี ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอบีพี คาเฟ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยถึงนโยบายปรับค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 300 บาทของพรรคเพื่อไทย ว่า ในส่วนของภาคเอกชน มองว่า นโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาทต่อวันของว่าที่รัฐบาลใหม่ครั้งนี้ เป็นเรื่องที่รัฐบาลใหม่ต้องพิจารณาให้รอบคอบ เพราะดูแล้วจะส่งผลกระทบหลายด้าน

โดยในส่วนของธุรกิจอาหารเองที่ต้องมีพนักงานในจำนวนมากนั้น ถือได้ว่านโยบายดังกล่าวจะทำให้ต้นทุนพุ่งสูงขึ้น จากปกติค่าแรงของพนักงานโดยเฉลี่ย คิดเป็น 20%ของต้นทุนรวมอยู่แล้ว ดังนั้นหากนโยบาย 300 บาท เกิดขึ้นจริง อาจจะทำให้บางบริษัทต้องปิดตัวลง เพราะต้นทุนที่สูงเกินไป

อีกทั้งมองว่าในระยะยาวแล้ว จะส่งผลต่อการลงทุนของต่างชาติที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย เนื่องจากค่าแรงมีราคาสูงขึ้น จะทำให้ต่างชาติย้ายฐานการลงทุนไปยังประเทศอื่น ๆที่มีอัตราค่าแรงงานต่ำกว่าแทน เช่น เวียดนาม จีน เป็นต้น จากปัจจุบันนี้ค่าแรงขั้นต่ำของคนไทยก็มีอัตราที่สูงกว่าค่าแรงของประเทศอื่น ๆ อยู่แล้ว

“ช่วงเวลาหาเสียงเลือกตั้ง พรรคการเมืองต่างมีนโยบายต่างๆขึ้นมา และสัญญาไว้เยอะ บางเรื่องดี แต่บางเรื่องทำไปอาจส่งผลกระทบมาก อย่างเรื่องการปรับค่าแรงขั้นต่ำทีเดียว 300 บาท บางบริษัทอาจอยู่รอดได้ แต่บางบริษัทตายแน่นอน ผลดีอาจเกิดขึ้นเพียงบางกลุ่มเท่านั้น แต่สุดท้ายผู้บริโภคจะต้องรับภาระอยู่ดี ซึ่งผมไม่เห็นด้วยกับนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทนี้ ”

นายนาดิม กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตามในส่วนของแผนการดำเนินงานของโอ บอง แปง ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาพบว่ายอดขายเติบโตขึ้น 20% จากปีก่อนโตเพียง 10% จึงมองเห็นเป็นช่วงโอกาสทางธุรกิจที่จะขยายธุรกิจในเชิงรุก ล่าสุดจึงมีแผนในการเปิดสาขาใหม่ 7 สาขา จากปกติจะเปิดเพียงปีละ 3 สาขา ใช้งบลงทุนสาขาละ 5-6 ล้านบาท และเปิดสาขาขนาดใหญ่ทีโรงแรมเดวิส ที่ใช้งบลงทุน 8 ล้านบาท พื้นที่กว่า 250ตารางเมตร ถึงสิ้นปีนี้โอ บอง แปง จะมีสาขาให้บริการรวม 49 แห่ง

ปัจจุบัน โอ บอง แปง มีส่วนแบ่ง 15% จากตลาดรวมธุรกิจเบเกอรี่ระดับพรีเมี่ยมมูลค่า 3,200 ล้านบาท ขณะที่ตลาดโดยรวมขยายตัว 15% สูงกว่าปีก่อนที่เติบโตปีละประมาณ 10% ทั้งนี้ในปีนี้ได้ปรับราคาสินค้าขึ้นอีกเมนูละ 5 บาท คิดเป็น 2-3% ของต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นตั้งแต่เดือนมิ.ย.ที่ผ่านมาด้วย เนื่องจากราคาวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้น ทั้งแป้ง เนยสด พืช ผัก เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว พร้อมเปิดตัวเมนูเพื่อสุขภาพใหม่ในตระกูลเบเกิล และเครื่องดื่มชาออร์แกนิค เชื่อว่าทั้งปีจะทำให้ยอดขายของบริษัทเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 20% ได้
กำลังโหลดความคิดเห็น