บลจ.ไทยพาณิชย์ โชว์ผลงานกองทุนทาร์เก็ตฟันด์ ลงทุน 23 วัน ผลตอบแทนเข้าเป้าหมาย 7% ชี้ลงทุนถูกจังหวะ รับดัชนีหุ้นไทยพื้น ระบุแนวโน้มในช่วงครึ่งปีหลัง ยังผันผวน แต่มั่นใจดัชนีไปถึง 1,200 จุด
นางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทประสบความสำเร็จในการบริหารพอร์ตกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ ทริกเกอร์ 7% ฟันด์ 2 ที่จัดตั้งกองทุนเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2554 ซึ่งสามารถบริหารจัดการลงทุนและได้รับผลตอบแทนตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 7% ในวันที่ 22 กรกฎาคม 2554 โดยถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ที่กองทุนสามารถถึงเป้าหมายตามที่ตั้งไว้ภายในระยะเวลาเพียง 23 วันเท่านั้น และสามารถทำกำไรให้แก่นักลงทุนได้ก่อนครบอายุ 7 เดือน ทั้งนี้ ผู้ถือหน่วยลงทุนจะได้รับเงินลงทุนคืนภายใน 5 วันทำการ
ทั้งนี้ การเข้าลงทุนในกองทุนทริกเกอร์ 7% ฟันด์ 2 นี้ถือเป็นจังหวะที่ดีมากเนื่องจากเป็นช่วงที่ดัชนีหลักทรัพย์ปรับตัวลดลง โดยอยู่ที่ระดับ 1,013.50 จุด อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการเข้ามาลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศที่เชื่อมั่นในการเติบโตของเศรษฐกิจไทยเพิ่มขึ้นและนักลงทุนมีความมั่นใจในความชัดเจนจากการจัดตั้งรัฐบาลภายหลังการเลือกตั้ง จึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่สนับสนุนให้ผลตอบแทนกองทุนนี้ถึงเป้าหมายตามที่ได้กำหนดไว้อย่างรวดเร็ว
สำหรับกองทุนทริกเกอร์ของบลจ.ไทยพาณิชย์จะใช้กลยุทธ์การบริหารที่เน้นเชิงรุก โดยมีการจัดสรรน้ำหนักการลงทุนและการคัดสรรหุ้น (Active and Focus) หุ้นพื้นฐานดีมีการเติบโตสูง ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงและได้รับประโยชน์จากการขยายตัวทางเศรษฐกิจในประเทศ โดยผู้จัดการกองทุนจะคอยจับจังหวะการลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนตามเป้าหมายและปรับน้ำหนักการลงทุนและเงินสดให้สอดคล้องกับสภาวะการลงทุนในแต่ละขณะ ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ทำให้กองทุนสามารถได้รับผลตอบแทนตามเป้าหมายเช่นกันทั้งนี้
"ภาพรวมของตลาดหุ้นไทยช่วงที่เหลือของปีนี้ บริษัทยังคงมองเป็นช่วงขาขึ้นแบบผันผวน โดยยังคงให้น้ำหนักดัชนีราคาหุ้นฯ สามารถขึ้นไปถึงระดับ 1,200 จุด โดยมองว่ามีหุ้นที่น่าสนใจอยู่หลายกลุ่ม อาทิ กลุ่มธนาคาร อาหาร รับเหมาก่อสร้างและวัสดุก่อสร้าง นิคมอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการขยายตัวของปริมาณความต้องการการลงทุนและบริโภคภายในประเทศ นอกจากนี้ยังมีหุ้นปิโตรเลียม ปิโตรเคมี ซึ่งได้รับประโยชน์จากแนวโน้มราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์เพิ่มสูงขึ้น ตลอดจนหุ้นกลุ่มอาหาร และพาณิชย์"นางโชติกากล่าว
กรรมการผู้อำนวยการกล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้บริษัทได้เปิดให้มีการซื้อขายกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ SET Banking Sector (SCBBanking) ที่มีนโยบายการลงทุนที่สร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนีหมวดธุรกิจธนาคารของตลาดหุ้นไทยมากที่สุด และกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ SET Energy Sector (SCBEnergy) มีนโยบายการลงทุนที่สร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนีหมวดพลังงานและสาธารณูปโภคของตลาดหุ้น ไทยมากที่สุดเช่นกัน ซึ่งทั้งสองกองทุนดังกล่าวเป็นกองทุนประเภทกองทุนรวมดัชนีและหมวดอุตสาหกรรม ภายหลังการเสนอขายครั้งแรกเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยสามารถทำการซื้อขายได้ทุกวันทำการ
สำหรับผลการดำเนินงานของทั้งสองกองทุนตั้งแต่จัดตั้งกองทุนเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2554 จนถึงวันที่ 22 กรกฎาคม 2554 อยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดยกองทุน SCBBanking มีมูลค่าหน่วยลงทุน 11.1268 บาท หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทนประมาณ 11.27 % ในขณะที่ SCBEnergy มีมูลค่าหน่วยลงทุน 10.8080 บาท หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทนประมาณ 8.08 % ซึ่งน่าจะเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนระยะยาวในหุ้น และต้องการเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในกลุ่มธนาคารพาณิชย์และกลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภค
นางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทประสบความสำเร็จในการบริหารพอร์ตกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ ทริกเกอร์ 7% ฟันด์ 2 ที่จัดตั้งกองทุนเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2554 ซึ่งสามารถบริหารจัดการลงทุนและได้รับผลตอบแทนตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 7% ในวันที่ 22 กรกฎาคม 2554 โดยถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ที่กองทุนสามารถถึงเป้าหมายตามที่ตั้งไว้ภายในระยะเวลาเพียง 23 วันเท่านั้น และสามารถทำกำไรให้แก่นักลงทุนได้ก่อนครบอายุ 7 เดือน ทั้งนี้ ผู้ถือหน่วยลงทุนจะได้รับเงินลงทุนคืนภายใน 5 วันทำการ
ทั้งนี้ การเข้าลงทุนในกองทุนทริกเกอร์ 7% ฟันด์ 2 นี้ถือเป็นจังหวะที่ดีมากเนื่องจากเป็นช่วงที่ดัชนีหลักทรัพย์ปรับตัวลดลง โดยอยู่ที่ระดับ 1,013.50 จุด อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการเข้ามาลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศที่เชื่อมั่นในการเติบโตของเศรษฐกิจไทยเพิ่มขึ้นและนักลงทุนมีความมั่นใจในความชัดเจนจากการจัดตั้งรัฐบาลภายหลังการเลือกตั้ง จึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่สนับสนุนให้ผลตอบแทนกองทุนนี้ถึงเป้าหมายตามที่ได้กำหนดไว้อย่างรวดเร็ว
สำหรับกองทุนทริกเกอร์ของบลจ.ไทยพาณิชย์จะใช้กลยุทธ์การบริหารที่เน้นเชิงรุก โดยมีการจัดสรรน้ำหนักการลงทุนและการคัดสรรหุ้น (Active and Focus) หุ้นพื้นฐานดีมีการเติบโตสูง ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงและได้รับประโยชน์จากการขยายตัวทางเศรษฐกิจในประเทศ โดยผู้จัดการกองทุนจะคอยจับจังหวะการลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนตามเป้าหมายและปรับน้ำหนักการลงทุนและเงินสดให้สอดคล้องกับสภาวะการลงทุนในแต่ละขณะ ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ทำให้กองทุนสามารถได้รับผลตอบแทนตามเป้าหมายเช่นกันทั้งนี้
"ภาพรวมของตลาดหุ้นไทยช่วงที่เหลือของปีนี้ บริษัทยังคงมองเป็นช่วงขาขึ้นแบบผันผวน โดยยังคงให้น้ำหนักดัชนีราคาหุ้นฯ สามารถขึ้นไปถึงระดับ 1,200 จุด โดยมองว่ามีหุ้นที่น่าสนใจอยู่หลายกลุ่ม อาทิ กลุ่มธนาคาร อาหาร รับเหมาก่อสร้างและวัสดุก่อสร้าง นิคมอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการขยายตัวของปริมาณความต้องการการลงทุนและบริโภคภายในประเทศ นอกจากนี้ยังมีหุ้นปิโตรเลียม ปิโตรเคมี ซึ่งได้รับประโยชน์จากแนวโน้มราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์เพิ่มสูงขึ้น ตลอดจนหุ้นกลุ่มอาหาร และพาณิชย์"นางโชติกากล่าว
กรรมการผู้อำนวยการกล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้บริษัทได้เปิดให้มีการซื้อขายกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ SET Banking Sector (SCBBanking) ที่มีนโยบายการลงทุนที่สร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนีหมวดธุรกิจธนาคารของตลาดหุ้นไทยมากที่สุด และกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ SET Energy Sector (SCBEnergy) มีนโยบายการลงทุนที่สร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนีหมวดพลังงานและสาธารณูปโภคของตลาดหุ้น ไทยมากที่สุดเช่นกัน ซึ่งทั้งสองกองทุนดังกล่าวเป็นกองทุนประเภทกองทุนรวมดัชนีและหมวดอุตสาหกรรม ภายหลังการเสนอขายครั้งแรกเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยสามารถทำการซื้อขายได้ทุกวันทำการ
สำหรับผลการดำเนินงานของทั้งสองกองทุนตั้งแต่จัดตั้งกองทุนเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2554 จนถึงวันที่ 22 กรกฎาคม 2554 อยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดยกองทุน SCBBanking มีมูลค่าหน่วยลงทุน 11.1268 บาท หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทนประมาณ 11.27 % ในขณะที่ SCBEnergy มีมูลค่าหน่วยลงทุน 10.8080 บาท หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทนประมาณ 8.08 % ซึ่งน่าจะเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนระยะยาวในหุ้น และต้องการเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในกลุ่มธนาคารพาณิชย์และกลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภค