xs
xsm
sm
md
lg

พิจารณาเลือกตั้ง ด้วยหลักการเลือกหุ้น…โดย มนตรี ศรไพศาล

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

รวยด้วยรัก...รวยด้วยหุ้น …
โดย มนตรี ศรไพศาล (montree4life@yahoo.com)
การเลือกตั้งในวันที่ 3 กรกฎาคม ที่จะถึงนี้ ดูจะเป็นการเลือกตั้งที่น่าตื่นเต้นกันทั้งแผ่นดิน
 
ดูเหมือนเป็นการชิงชัยที่จะได้นายกฯ ชายท่านปัจจุบัน หรือ นายกฯ หญิง ที่กำลังมาแรงตามข่าว
 
ประเทศไทยโชคดี ที่เรามั่นใจได้คือ เราจะมีนายกฯ หน้าตาดี เพราะว่าที่นายกฯของเรา มีแต่หนุ่มหล่อและสาวสวยทั้งคู่
 
อย่างไรก็ตาม ผมก็เพียงแต่อยากจะเสนอคำเตือนสติว่า เราไม่ได้โหวตดารายอดนิยม เราไม่ได้โหวตนักร้อง เรากำลังโหวตหาว่าที่ผู้นำประเทศ ผู้จะนำทิศทางของประเทศอยู่
 
ประชาชน ควรมองส่วน “คุณค่า” ของความเป็นผู้นำชาติ และสื่อมวลชน ควรช่วยชาติด้วยการนำเสนอส่วนที่เป็น “สาระ” เหล่านี้ อย่าง “เป็นธรรม”
 
ผมคิดดูแล้ว การ “เลือกตั้ง” ก็ใกล้เคียง “การลงทุนหุ้น” โดยมีแนวทางในการตัดสินใจหลายประการ ดังนี้
 
1.  ด้านองค์กร ประวัติการดำเนินงาน สำคัญที่สุด เรามักจะสอนให้นักลงทุน เข้าใจความจริงว่า “การลงทุนนั้น นักลงทุนจะได้อนาคตหลังลงทุน” ก็เหมือนการเลือกตั้ง “เราจะได้อนาคตประเทศไทย ตามลักษณะผู้นำของประเทศ”
 
อย่างไรก็ตาม การจะตัดสินผู้นำตาม “โฆษณาชวนเชื่อ” นั้น ใครๆ ก็อาจจะพูดอะไรก็ได้
 
ในวงการการลงทุน ยังมีกฎระเบียบชัดเจนว่า ห้ามพูดจาที่ปกปิดความจริง เสนอข้อมูลเท็จ ทำให้นักลงทุนเข้าใจผิดหรือละเลยการเปิดเผยความจริงในสาระสำคัญ กระนั้น ก็ยังมีบางบริษัททำผิด และมีนักลงทุนไม่น้อย ต้องเสียหาย
 
ในวงการเลือกตั้ง กฎเกณฑ์ต่างๆจะยิ่งหลวมกว่า ดังนั้น ผู้ที่ใช้สติในการพิจารณา จะดู “ความจริง” จาก “ประวัติการดำเนินงาน”
 
แม้อาจจะเห็นของนายกฯอภิสิทธิ์คนเดียว ก็ควรจะพิจารณา ถือได้ว่า มีความเป็นกลางพอสมควรด้วยการคิดทั้ง “มุมบวก” และ “มุมลบ” ว่ามี “ความจริงอย่างไร”
 
1.1.  เศรษฐกิจไทยดี ขัดกับข้อกล่าวหา “ดีแต่พูด” วิกฤตเศรษฐกิจโลกในครั้งนี้ ยังไม่จบ ประเทศทางยุโรป กำลังมีความเสี่ยงมากขึ้น อาจถึงขั้นผิดนัดชำระหนี้ สหรัฐอเมริกาให้รัฐบาลอัดฉีดเศรษฐกิจ จนก่อหนี้ถึง 93% ของจีดีพีแล้ว แต่คนว่างงานยังอยู่กว่า 9% ประเทศไทยแก้วิกฤตได้ดีจนรัฐมนตรีคลังไทย ได้รับเลือกเป็นรัฐมนตรีคลังแห่งปี 2552 ประเทศไทยเราโดยรัฐบาลอภิสิทธิ์ อัดฉีดเศรษฐกิจ ถูกเป้า ถูกเวลา ถูกปริมาณ บัดนี้ หนี้เหลือเพียง 40% คนว่างงานน้อยกว่า 1%
 
1.2.  ประเทศไทยแข่งขันได้ดีขึ้น จากความกังวลว่าวิกฤตครั้งนี้จะใหญ่กว่าต้มยำกุ้ง เรากลับทำให้เศรษฐกิจเติบโตในกลุ่มสูงสุดในโลก ส่งออกเติบโตปีละเกือบ 30% ทั้งๆที่ค่าเงินบาทแข็งมาอยู่ที่ 30 บาท/ดอลลาร์ ทุนสำรองของประเทศอยู่ในระดับสูงสุดในประวัติศาสตร์ถึง 2 แสนล้านเหรียญ สรอ. เทียบกับวิกฤตสุดๆปลายปี 2540 มีเพียงสถานะสุทธิ 7 พันล้านเหรียญ สรอ. ! (ซึ่งขอไม่กล่าวถึงว่าใครเป็นนายกฯ ใครเป็นรองนายกฯ) ท่องเที่ยวก็เติบโตขึ้นอย่างดีจนยอดนักท่องเที่ยวสูงสุดในประวัติศาสตร์ ทั้งที่มีกระบวนการป่วนเมือง
 
1.3.สินค้าราคาแพง ? เวลาราคาน้ำมันขึ้น สินค้าโภคภัณฑ์ขึ้น นักวิจัย นักลงทุนที่มีสติปัญญา จะไม่ตำหนิบริษัทที่ต้นทุนนั้นๆสูงขึ้น เพราะรู้เต็มอกว่า เป็น “ราคาตลาดโลก” เรื่อง “สินค้าราคาแพง” จึงไม่ควรที่นักการเมืองฉวยโอกาสพูดลอยๆ หรือ “ชูไข่” หาเสียง เพียงเพื่อสร้างความรู้สึกโกรธ เบื่อ และอยากเปลี่ยนแปลงโดยไม่รับทราบว่าเป็นปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้เพียงใด แต่ควรจะบอกว่า ในปัจจัยแวดล้อมเช่นเดียวกันนั้น สิ่งที่รัฐบาลทำ เช่น ตรึงราคาก๊าซหุงต้ม ยกเว้นภาษีสรรพสามิต ฯลฯ เห็นด้วยหรือไม่ มีวิธีอื่นอย่างไร ? สื่อมวลชนที่ทนเห็นนักการเมือง ปกปิดความจริงเรื่องปัจจัยภายนอก ก็ควรจะถามอย่างสร้างสรรค์ มิเช่นนั้น จะไม่ได้ทางเลือกที่ดีขึ้น จากโจทย์ยากจาก “ปัจจัยภายนอก” เดียวกัน
 
1.4.รัฐบาลสั่งทหารฆ่าประชาชน ? ถ้ารัฐบาลกระหายเลือดอย่างที่ “ใส่ร้ายด้วยความเท็จ” เมื่อเผชิญคนเสื้อแดงมือเปล่า ก็คงไม่ได้ส่งคนกลับกว่า 3,600 คน การใช้ความเท็จทำให้คนเกลียดกัน เป็นจุดแรกแห่งความแตกแยกที่ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองไม่ควรทำเลยครับ
 
2.  ด้านตัวบุคคล ธรรมาภิบาลสำคัญที่สุดสิ่งที่เราสอนนักลงทุนเสมอคือ “โครงสร้างที่ทำให้เกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์” เป็นสิ่งอันตราย เพราะถ้ามี ก็มีแนวโน้มที่จะหาประโยชน์เข้าหาตัวสูง และยิ่งถ้าเคยเกิดขึ้นแล้ว ก็ยิ่งน่ากังวล และสิ่งที่ กลต. กำลังติดตามอย่างมากในปัจจุบัน คือ ป้องกันไม่ให้ใช้ “โนมินี” หลีกเลี่ยงไม่ให้คนเห็นเรื่อง “ความขัดแย้งทางผลประโยชน์”
 
ในประเด็นเรื่องนี้ หากดูที่ท่าน พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ได้เปิดเผยความจริงกับสำนักข่าวรอยเตอร์เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า “ผมเหลือเงินแค่ 3 หมื่นล้านบาท” หากดูข้อสังเกตในสื่อมวลชน ก็ดูจะเป็นเรื่องที่ดีได้ครับ
 
ข่าวนี้แสดงว่า ท่านยอมรับว่า ศาลไทยยุติธรรม ที่ได้ตัดสินว่า หุ้นที่ คุณ ยิ่งลักษณ์ คุณ พานทองแท้ คุณ พินทองทา ชินวัตร และ คุณ บรรณพจน์ถือนั้น เป็นการถือแทนทั้งสิ้น มิได้เป็นไปตามที่ให้การเท็จต่อศาล และผลการตัดสินมีความยุติธรรมเป็นที่สุด
 
เพราะหากไม่เป็นเช่นนั้น 3 หมื่นล้านบาท ก็น่าจะคืน คุณ ยิ่งลักษณ์ 400 ล้านบาท คุณ พานทองแท้ 9 พันล้านบาท คุณ พินทองทา 1.2 หมื่นล้านบาท และ คุณ บรรณพจน์ 8 พันล้านบาทแล้ว
 
ขอชื่นชมครอบครัวชินวัตรที่จะได้เริ่มกันอย่าง “แก้ไข ไม่แก้แค้น” โดยยอมรับความจริง และความยุติธรรมของศาล เลิกบอกว่าจะมาตามความยุติธรรมคืน เลิกถือว่า ประเทศขโมยเงินไป 4.6 หมื่นล้านบาท เพราะความผิดเรื่องโนมินี ชัดเจนและยอมรับเองแล้ว ผมว่า เป็นคุณูปการให้บ้านเมืองไทยสงบสุขต่อไปครับ
 
“เลือกตั้ง” ก็เหมือน “เลือกหุ้น” แต่สำคัญกว่า ประชาชนควรเลือกอย่างรอบคอบครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น