ASTVผู้จัดการรายวัน - "รพี" โบกมือลาบลจ.กสิกรไทย สิ้นเดือนนี้ ระบุไม่กระทบการทำธุรกิจ เชื่อมั่นศักยภาพสาขาแบงก์แม่ เป็นจุดแข็งหนุนการขยายตัว ด้าน "พัชร" ออกตัว ปีนี้ไม่ตั้งเป้าโต ขอประคองแค่แชมป์เอาไว้พอ หลังสินทรัพย์ทิ้งห่างคู่แข่ง แต่เน้นเดินหน้าเฟ้นหาโอกาสให้นักลงทุนแทน
นายรพี สุจริตกุล ประธานกรรมการบริหาร บลจ.กสิกรไทย เปิดเผยว่า ตัวเองจะทำงานถึงสิ้นเดือนมิถุนายนนี้ เพื่อไปพักผ่อน ส่วนเรื่องที่จะสมัครชิงตำแหน่งเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) หรือไม่นั้น ยังเร็วไปที่จะพูดถึงในตอนนี้ คงต้องดูรายละเอียดและคุณสมบัติของผู้สมัครอีกครั้งหนึ่งด้วย อย่างไรก็ตาม เชื่อมั่นว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของบลจ.กสิกรไทยแต่ประการใด เพราะได้ประโยน์ทั้ง 2 ฝ่าย การที่ตัวเองจากไปน่าจะทำให้องค์กรได้เกิดการเลี่ยนแปลงในเชิงบวกมากกว่า เพราะถึงจุดหนึ่งองค์กรก็ต้องการเปลี่ยนแปลงและคงจะไม่มีใครมาดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหารแทนแบบเต็มเวลาด้วย
ในแง่ของการแข่งขันเอง ก็เชื่อมั่นในศักยภาพของบริษัท เพราะอุตสาหกรรมกองทุนรวมในไทยยังเป็นการเติบโตบนช่องทางการขายเป็นสำคัญ ไม่ใช่ถึงจุดที่จะแข่งขันกันด้วยฝีมือในการบริหารกองทุน บลจ.ที่มีความพร้อมของเครือข่ายสาขาจึงเป็นสิ่งสำคัญซึ่งบริษัทเองก็มีจุดแข็งในเรืองนี้
“ผู้ลงทุนหรือลูกค้าเองก็ยังมีความคุ้นเคยกับการฝากแบงก์และความเชื่อมั่นในแบรนด์เป็นหลัก ความสะดวกสบายและความเชื่อมั่นเป็นปัจจัยที่ลูกค้าให้ความสำคัญมากกว่าเรื่องของผลตอบแทน และด้วยพฤติกรรมของผู้ออมเงินนี้เอง คนไทยจึงมองว่าเมื่อสถาบันคุ้มครองเงินฝากบังคับใช้เต็มรูปแบบหลังวันที่ 11 ส.ค. 2555 เป็นต้นไปนั้น ก็จะไม่ส่งผลกระทบแบบมีนัยยะสำคัญต่อธุรกิจกองทุนรวมแต่ประการใด เพราะลูกค้ารายใหญ่เขาก็มีการบริหารความเสี่ยงของตัวเองอยู่แล้วระดับหนึ่งในปัจจุบัน เขาก็ยังจะเลือกฝากเงินกับสถาบันที่เขาไว้ใจและมั่นใจเป็นหลัก” นายรพีกล่าว
นายพัชร สมะลาภา กรรมการผู้จัดการ บลจ.กสิกรไทย กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทเองไม่ได้ตั้งเป้าในแง่ของการเติบโตมากนัก แค่ประคองตัวให้ได้ก็พอใจแล้ว เพราะปัจจุบันบริษัทก็มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) เป็นอันดับ 1 ของอุตสาหกรรมและทิ้งห่างคู่แข่งอันดับ 2 พอสมควร จึงไม่จำเป็นต้องมานั่งกังวลในเรื่องของการแข่งขันในเรื่องสินทรัพย์ในปีนี้ เพียงแต่พยายามมองหาโอกาสการลงทุนอื่นมาตอบโจทย์ให้กับลูกค้าที่เงินครบกำหนด โดยเฉพาะกองทุนพันธบัตรเกาหลีใต้ ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทก็สามารถดึงเงินไว้ได้ทั้งหมด รวมทั้งการหาเม็ดเงินใหม่เข้ามาและปรับปรุงบริการต่างๆ ให้ดียิ่งขึ้น
ในส่วนของระบบการลงทุนต่างๆ ก็เรียบร้อยเข้าที่ดีแล้ว ซึ่งพิสูจน์ได้ว่าที่บลจ.กสิกรไทย ทำงานกันเป็นทีมบนระบบที่ดีเพียงแต่ต้องใช้เวลาในการปรับตัวบ้างเท่านั้นเอง ปัจจุบันยอมรับว่าผลการดำเนินงานของกองทุนหุ้นไม่ค่อยดีนัก แต่ก็ไม่ได้เกี่ยวกับการที่บริษัทสูญเสียผู้จัดการกองทุนไป หากแต่ถือเป็นเรื่องปกติตามภาวะตลาด ซึ่งเหมือนกันกับกองทุนหุ้นของบลจ.อื่นรวมทั้งคู่แข่งซึ่งก็ไม่ได้แตกต่างกันมาก
“ในแง่ของกองทุนใหม่ๆ เองในช่วงนี้ อาจจะยังไม่มี แต่จะเน้นกองทุนตราสารหนี้และกองทุนคุ้มครองเงินต้นโดยอ้างอิงผลตอบแทนกับสินทรัพย์ประเภทอื่นมากกว่า บริษัทเองยังไม่สนใจที่จะออกกองทุนประเภททาร์เก็ตฟันด์ด้วย เพราะมองว่าผู้ลงทุนสามารถใช้กองทุนหุ้นปกติในการทำกำไรได้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องไปออกเป็นทาร์เก็ตฟันด์แต่ประการใด”นายพัชรกล่าว
นายรพี สุจริตกุล ประธานกรรมการบริหาร บลจ.กสิกรไทย เปิดเผยว่า ตัวเองจะทำงานถึงสิ้นเดือนมิถุนายนนี้ เพื่อไปพักผ่อน ส่วนเรื่องที่จะสมัครชิงตำแหน่งเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) หรือไม่นั้น ยังเร็วไปที่จะพูดถึงในตอนนี้ คงต้องดูรายละเอียดและคุณสมบัติของผู้สมัครอีกครั้งหนึ่งด้วย อย่างไรก็ตาม เชื่อมั่นว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของบลจ.กสิกรไทยแต่ประการใด เพราะได้ประโยน์ทั้ง 2 ฝ่าย การที่ตัวเองจากไปน่าจะทำให้องค์กรได้เกิดการเลี่ยนแปลงในเชิงบวกมากกว่า เพราะถึงจุดหนึ่งองค์กรก็ต้องการเปลี่ยนแปลงและคงจะไม่มีใครมาดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหารแทนแบบเต็มเวลาด้วย
ในแง่ของการแข่งขันเอง ก็เชื่อมั่นในศักยภาพของบริษัท เพราะอุตสาหกรรมกองทุนรวมในไทยยังเป็นการเติบโตบนช่องทางการขายเป็นสำคัญ ไม่ใช่ถึงจุดที่จะแข่งขันกันด้วยฝีมือในการบริหารกองทุน บลจ.ที่มีความพร้อมของเครือข่ายสาขาจึงเป็นสิ่งสำคัญซึ่งบริษัทเองก็มีจุดแข็งในเรืองนี้
“ผู้ลงทุนหรือลูกค้าเองก็ยังมีความคุ้นเคยกับการฝากแบงก์และความเชื่อมั่นในแบรนด์เป็นหลัก ความสะดวกสบายและความเชื่อมั่นเป็นปัจจัยที่ลูกค้าให้ความสำคัญมากกว่าเรื่องของผลตอบแทน และด้วยพฤติกรรมของผู้ออมเงินนี้เอง คนไทยจึงมองว่าเมื่อสถาบันคุ้มครองเงินฝากบังคับใช้เต็มรูปแบบหลังวันที่ 11 ส.ค. 2555 เป็นต้นไปนั้น ก็จะไม่ส่งผลกระทบแบบมีนัยยะสำคัญต่อธุรกิจกองทุนรวมแต่ประการใด เพราะลูกค้ารายใหญ่เขาก็มีการบริหารความเสี่ยงของตัวเองอยู่แล้วระดับหนึ่งในปัจจุบัน เขาก็ยังจะเลือกฝากเงินกับสถาบันที่เขาไว้ใจและมั่นใจเป็นหลัก” นายรพีกล่าว
นายพัชร สมะลาภา กรรมการผู้จัดการ บลจ.กสิกรไทย กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทเองไม่ได้ตั้งเป้าในแง่ของการเติบโตมากนัก แค่ประคองตัวให้ได้ก็พอใจแล้ว เพราะปัจจุบันบริษัทก็มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) เป็นอันดับ 1 ของอุตสาหกรรมและทิ้งห่างคู่แข่งอันดับ 2 พอสมควร จึงไม่จำเป็นต้องมานั่งกังวลในเรื่องของการแข่งขันในเรื่องสินทรัพย์ในปีนี้ เพียงแต่พยายามมองหาโอกาสการลงทุนอื่นมาตอบโจทย์ให้กับลูกค้าที่เงินครบกำหนด โดยเฉพาะกองทุนพันธบัตรเกาหลีใต้ ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทก็สามารถดึงเงินไว้ได้ทั้งหมด รวมทั้งการหาเม็ดเงินใหม่เข้ามาและปรับปรุงบริการต่างๆ ให้ดียิ่งขึ้น
ในส่วนของระบบการลงทุนต่างๆ ก็เรียบร้อยเข้าที่ดีแล้ว ซึ่งพิสูจน์ได้ว่าที่บลจ.กสิกรไทย ทำงานกันเป็นทีมบนระบบที่ดีเพียงแต่ต้องใช้เวลาในการปรับตัวบ้างเท่านั้นเอง ปัจจุบันยอมรับว่าผลการดำเนินงานของกองทุนหุ้นไม่ค่อยดีนัก แต่ก็ไม่ได้เกี่ยวกับการที่บริษัทสูญเสียผู้จัดการกองทุนไป หากแต่ถือเป็นเรื่องปกติตามภาวะตลาด ซึ่งเหมือนกันกับกองทุนหุ้นของบลจ.อื่นรวมทั้งคู่แข่งซึ่งก็ไม่ได้แตกต่างกันมาก
“ในแง่ของกองทุนใหม่ๆ เองในช่วงนี้ อาจจะยังไม่มี แต่จะเน้นกองทุนตราสารหนี้และกองทุนคุ้มครองเงินต้นโดยอ้างอิงผลตอบแทนกับสินทรัพย์ประเภทอื่นมากกว่า บริษัทเองยังไม่สนใจที่จะออกกองทุนประเภททาร์เก็ตฟันด์ด้วย เพราะมองว่าผู้ลงทุนสามารถใช้กองทุนหุ้นปกติในการทำกำไรได้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องไปออกเป็นทาร์เก็ตฟันด์แต่ประการใด”นายพัชรกล่าว
