xs
xsm
sm
md
lg

กสิกรไทยลั่นรักษาแชมป์กองทุน ตั้งเป้าAUM7แสนล.-ไม่หวั่นทั้งระบบโตยาก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


บลจ.กสิกรไทย ลั่นรักษาแชมป์ผู้นำธุรกิจกองทุน ตั้งเป้าAUM แตะ 7 แสนล้านบาท ไม่หวั่นกองพันธบัตรโสมครบอายุ 8.3 หมื่นล้านบาท พร้อมเดินหน้าออกกองเพิ่มทางเลือกแก่นักลงทุน และเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ-โปโมชันมากขึ้น ด้านหัวเรือใหญ่คาด ธุรกิจกองทุนปีนี้โตน้อย เหตุปีที่ผ่านมาขยายตัวแบบก้าวกระโดดเกินไป

นายรพี สุจริตกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กสิกรไทย เปิดเผยว่า ในปีที่ผ่านมาธุรกิจกองทุนรวมมีการเติบโตแบบก้าวกระโดด เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำส่งผลให้นักลงทุนหันมาลงทุนผ่านกองทุนรวม ซึ่งมีผลิตภัณฑ์ทีใกล้เคียงกับเงินฝากแต่ให้ผลตอบแทนในระดับที่สูงกว่า อย่างไรก็ตามคาดว่าสถานการณ์แบบนี้คงไม่เกิดต่อเนื่องทุกปี และอาจเป็นไปได้ว่าในอนาคตอาจไม่ขยายตัวในระดับสูงเหมือนปีที่ผ่านมา

โดยในปีนี้ธุรกิจกองทุนรวมน่าจะเติบโตน้อยลง แต่กองทุนหุ้นน่าจะได้รับอานิสงส์จากมุมมองของตลาดหุ้นขาขึ้น ส่วนกองทุนตราสารหนี้น่าจะมีการเติบโตน้อย โดยเม็ดเงินจากองทุนพันธบัตรเกาหลีน่าจะทยอยกลับเข้ามาลงทุนในประเทศ หรืออาจมีการโยกไปลงทุนในกองตราสารหนี้ประเทศอื่นแทน

สำหรับในปี 2553 ธุรกิจกองทุนมีสินทรัพย์รวมภายใต้การบริหาร(เอยูเอ็ม) เติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 12% จาก 2.576 ล้านล้านบาทในปี 2552 มาอยู่ที่ 2.875 ล้านล้านบาทในปี 2553 แบ่งเป็นกองทุนรวมมีการขยายตัว 10% จากเอยูเอ็มเดิมในปี 2552 ที่ 1.846 ล้านล้านบาท มาอยู่ที่ 2.032 ล้านบาท กองทุนส่วนบุคคลขยายตัว 28% จาก 2.17 แสนล้านบาทมาอยู่ที่ 2.78 แสนล้านบาท กองทุนสำรองเลี้ยงชีพขยายตัว 10% จากเดิม 5.14 แสนล้านบาทมาอยู่ที่ 5.66 แสนล้านบาท

"ความจริงแล้วมันมีผลกระทบจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้กองทุนหุ้นได้รับอานิสงส์จากเรื่องนี้ แต่ในความเป็นจริงกองทุนหุ้นกลับมีเม็ดเงินไหลเข้ารวมกันกลับติดลบ ซึ่งถ้าหักลบผลของการปรับตัวของหุ้นไทยแล้ว การเติบโตของกองทุนรวมน่าจะอยู่ที่แค่ประมาณ 5% เท่านั้น"นายรพีกล่าว

ด้านนาย พัชระ สมะลาภา กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทหวังว่าจะรักษาความเป็นผู้นำอันดับ 1 ของธุรกิจกองทุน โดยตั้งเป้าการเติบของสินทรัพย์รวมภายใต้การบริหารเอาไว้ที่ประมาณ 7 แสนล้านบาท หลังจากที่ในปี 2553 สามารถรักษาตำแหน่งผู้นำในธุรกิจกกองทุนรวมได้จากการเติบโตอย่างต่อเนื่องโดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเอยูเอ็มของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นถึงกว่า 70% โดยเฉพาะในปี 2553 มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 50% จากเดิม 5.09 แสนล้านบาทมาอยู่ที่ 6.66 แสนล้านบาท

"ในปีนี้จะมีกองที่ครบอายุอยู่ประมาณ 1.8 แสนล้านบาท เป็นกองทุนพันธบัตรเกาหลีประมาณ 8.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งหลังจากนี้คงต้องหากองทุนประเภทอื่นมาทดแทนเหมือนอย่างกับที่ทำในปีนี้คือลงในประเทศบ้าง และไปลงต่างประเทศบางส่วนอย่างดูไบ แต่เชื่อว่าโอกาสคงไม่เปิดอย่างต่อเนื่อง เพราะเมื่อคนแห่กันไปลงทุนมันก็เหมือนเกาหลีที่เดี๋ยวนี้หันมาเก็บภาษีเรา แต่ก่อนหน้านี้ไม่"นายพัชระกล่าว
ทั้งนี้กองทุนที่คาดว่าจะทำการเปิดขายในปีนี้น่าจะมีอยู่ด้วยกัน 4 ประเภท เป็น กองทุนตราสารหนี้ที่ลงทุนในสกุลเงินจีน(RMB Bond) กองทุนตราสารหนี้ Global Bond กองทุที่ลิ้งค์ผลตอบแทนจากหุ้นและทองคำ รวมถึงกองทุน Gold ETF ส่วนกองทุนอสังหาริมทรัพย์ยังไม่มีแผนที่จะออกกองทุนใหม่เพิ่มเติมแต่อย่างใด ขณะที่กองทุนน้ำมันและทองคำจะยังคงเป็นตัวเราแนะนำซึ่งในปีที่ผ่านมาทั้ง 2 กองทุนมีการขยายตัวสูงสุดของอุตสาหกรรม

นอกจากนี้ยังเตรียมจัดโปโมชันเพื่อเป็นการคืนกำไรให้แก่ลูกค้า ทั้งการช่วยเหลือในการวางแผนการเงิน แผนการให้คำแนะนำผ่านสาขา และโปรแกรมตอบแทนความไว้วางใจจากลูกค้า
ส่วนการบริการ นายพัชระ กล่าวว่า จะเริ่งดำเนินการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบไอที เพื่อให้เป็นระบบริหารกองทุนที่ทันสมัย เพิ่มความสะดวกรวดเร็วในการให้บริการลูกค้า โดยในส่วนของลูกค้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพจะมีโปรแกรมแนะนำให้หันมาลงทุนในกองทุนรวมเพิ่มเติม ซึ่งจะเริ่มจาก 22 บริษัใหญ่และพนักงานกว่า 2.63 แสนคน
กำลังโหลดความคิดเห็น