บลจ.กสิกรไทย ปลื้มกองหุ้นแดนภารตะ นักลงทุนให้การตอบรับดีกวาดไอพีโอกว่า 600 ล้าน เตรียมเปิดขายครั้งต่อไป 20 มิ.ย.นี้ ระบุศักยภาพเศรษฐกิจอินเดียแจ่ม ครึ่งปีหลังปรับตัวดีขึ้นจากการบริโภคและลงทุน แถมอัตราเงินเฟ้อเริ่มคลี่คลาย รัฐบาลอินเดียอาจหยุดขึ้นดอกเบี้ยในไม่ช้า
นายพัชร สมะลาภา กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากกองทุนเปิดเค อินเดีย หุ้นทุน (K-INDIA)ที่บริษัทเปิดขายครั้งแรกไปเมื่อเดือนที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับอย่างดียิ่งจากผู้ลงทุนที่ต้องการเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นของประเทศอินเดีย ล่าสุดหลังจากจดทะเบียนกองทุนดังกล่าวกับสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จะเปิดขายครั้งต่อไป ตั้งแต่วันที่ 20 มิถุนายน 2554 เป็นต้นไป โดยผู้ลงทุนที่ยังสนใจการลงทุนในกองทุน K-INDIA สามารถซื้อกองทุนดังกล่าวได้ผ่านสาขาธนาคารกสิกรไทยทั่วประเทศ
"กองทุนดังกล่าวได้รับการตอบรับดีส่งผลให้กองทุนดังกล่าวมียอดขายสูงถึง 655.87 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า กลุ่มผู้ลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงได้สูงยังคงต้องการทางเลือกลงทุนในต่างประเทศที่ให้โอกาสรับผลตอบแทนที่น่าสนใจ ซึ่ง บลจ. กสิกรไทยมองว่าอินเดียเป็นประเทศที่มีศักยภาพ"นายพัชรกล่าว
สำหรับกองทุนเปิดเค อินเดีย หุ้นทุน (K-INDIA) มีขนาดกองทุน 1,500 ล้านบาท เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน UTI India Fund - 1986 share ภายใต้การบริหารของ UTI International ประเทศอินเดีย ภายใต้การบริหารของ UTI International บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนที่มีทีมผู้จัดการกองทุนและนักวิเคราะห์ประจำอยู่ในอินเดีย จึงไม่เพียงมีความชำนาญในการลงทุนในตลาดหุ้นของอินเดียซึ่งมีความผันผวนเป็นอย่างดี หากยังมีความได้เปรียบในด้านข้อมูลและความเข้าใจเชิงลึกในสภาวะเศรษฐกิจและปัจจัยการลงทุนต่างๆ ในประเทศอินเดีย
ทั้งนี้ กองทุน K-INDIA มีนโยบายปันผลไม่เกิน 4 ครั้งต่อปี และมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 ของมูลค่าเงินลงทุนในต่างประเทศ
นายพัชร กล่าอีกว่า ความกังวลเรื่องอัตราดอกเบี้ยคาดว่า การเพิ่มดอกเบี้ยน่าจะหยุดลงในไม่ช้า เนื่องจากรัฐบาลอินเดียมีมาตรการอื่นออกมาอีก เช่น การลดการอุดหนุนราคาน้ำมัน สำหรับเศรษฐกิจอินเดียในช่วงครึ่งปีหลังน่าจะปรับตัวดีขึ้นจากการบริโภคในประเทศและการลงทุน นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีแผนการลงทุนในสาธารณูปโภคขนาดใหญ่เพื่อพัฒนาประเทศซึ่งจะเริ่มในปี 2555 -2560 เป็นเม็ดเงินถึง 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยระดมเงินมาจากการแปรรูปรัฐวิสาหกิจและภาคประชาชนที่มีอัตราการออมสูงถึงกว่า 30% ของจีดีพี
นายพัชร สมะลาภา กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากกองทุนเปิดเค อินเดีย หุ้นทุน (K-INDIA)ที่บริษัทเปิดขายครั้งแรกไปเมื่อเดือนที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับอย่างดียิ่งจากผู้ลงทุนที่ต้องการเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นของประเทศอินเดีย ล่าสุดหลังจากจดทะเบียนกองทุนดังกล่าวกับสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จะเปิดขายครั้งต่อไป ตั้งแต่วันที่ 20 มิถุนายน 2554 เป็นต้นไป โดยผู้ลงทุนที่ยังสนใจการลงทุนในกองทุน K-INDIA สามารถซื้อกองทุนดังกล่าวได้ผ่านสาขาธนาคารกสิกรไทยทั่วประเทศ
"กองทุนดังกล่าวได้รับการตอบรับดีส่งผลให้กองทุนดังกล่าวมียอดขายสูงถึง 655.87 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า กลุ่มผู้ลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงได้สูงยังคงต้องการทางเลือกลงทุนในต่างประเทศที่ให้โอกาสรับผลตอบแทนที่น่าสนใจ ซึ่ง บลจ. กสิกรไทยมองว่าอินเดียเป็นประเทศที่มีศักยภาพ"นายพัชรกล่าว
สำหรับกองทุนเปิดเค อินเดีย หุ้นทุน (K-INDIA) มีขนาดกองทุน 1,500 ล้านบาท เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน UTI India Fund - 1986 share ภายใต้การบริหารของ UTI International ประเทศอินเดีย ภายใต้การบริหารของ UTI International บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนที่มีทีมผู้จัดการกองทุนและนักวิเคราะห์ประจำอยู่ในอินเดีย จึงไม่เพียงมีความชำนาญในการลงทุนในตลาดหุ้นของอินเดียซึ่งมีความผันผวนเป็นอย่างดี หากยังมีความได้เปรียบในด้านข้อมูลและความเข้าใจเชิงลึกในสภาวะเศรษฐกิจและปัจจัยการลงทุนต่างๆ ในประเทศอินเดีย
ทั้งนี้ กองทุน K-INDIA มีนโยบายปันผลไม่เกิน 4 ครั้งต่อปี และมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 ของมูลค่าเงินลงทุนในต่างประเทศ
นายพัชร กล่าอีกว่า ความกังวลเรื่องอัตราดอกเบี้ยคาดว่า การเพิ่มดอกเบี้ยน่าจะหยุดลงในไม่ช้า เนื่องจากรัฐบาลอินเดียมีมาตรการอื่นออกมาอีก เช่น การลดการอุดหนุนราคาน้ำมัน สำหรับเศรษฐกิจอินเดียในช่วงครึ่งปีหลังน่าจะปรับตัวดีขึ้นจากการบริโภคในประเทศและการลงทุน นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีแผนการลงทุนในสาธารณูปโภคขนาดใหญ่เพื่อพัฒนาประเทศซึ่งจะเริ่มในปี 2555 -2560 เป็นเม็ดเงินถึง 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยระดมเงินมาจากการแปรรูปรัฐวิสาหกิจและภาคประชาชนที่มีอัตราการออมสูงถึงกว่า 30% ของจีดีพี