บลจ.กสิกรไทย เล็งลงทุนตลาดหุ้นอินเดียช่วงปลายมีนาคม เชื่อเป็นทางเลือกที่ดี หลังแนวโน้มเศรษฐกิจแดนโรตียังโตต่อเนื่อง ส่งผลให้กำไรต่อหุ้นอาจเติบโตถึง 20% ขณะเดียวกันยังรับอานิสงส์การชะลอการขึ้นดอกเบี้ยของภาครัฐ ทำให้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนดีขึ้นอีกด้วย
นายพัชร สมะลาภา กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า จากการติดตามสถานการณ์การลงทุนในอินเดียอย่างใกล้ชิดตั้งแต่ปีที่ผ่านมา(2553) บริษัทเชื่อว่าประเทศอินเดียยังมีแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างแข็งแกร่ง โดยมีปัจจัยบวกจากการบริโภคภายในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น การทุ่มเงินลงทุนมหาศาลของภาครัฐเพื่อพัฒนาสาธารณูปโภคพื้นฐาน ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนก็มีแนวโน้มที่ดี โดยคาดว่าในปีนี้กำไรต่อหุ้นอาจเติบโตถึง 20% ซึ่งถือว่ายังมีความน่าสนใจในฐานะทางเลือกในการลงทุนในต่างประเทศสำหรับปีนี้
ทั้งนี้ บริษัทจึงเตรียมเสนอขายกองทุนหุ้นอินเดีย ซึ่งเป็นกองทุนรวมหน่วยลงทุน (Feeder Fund) ผ่านกองทุนหลักที่บริหารจัดการโดย บลจ.ชั้นนำของอินเดีย โดยมีแผนจะเสนอขายปลายไตรมาสแรกของปี 2554 เพื่อเพิ่มทางเลือกในการลงทุนให้แก่ผู้ลงทุนที่ต้องการโอกาสรับผลตอบแทนสูงจากการลงทุนในตลาดหุ้นอินเดีย ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตสูงจากพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง
โดยถึงแม้ในช่วงนี้อาจยังไม่ใช่เวลาเข้าลงทุนที่ดีนักสำหรับตลาดหุ้นอินเดีย เนื่องจากต่างชาติยังคงทยอยขายทำกำไรอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งแต่ต้นปี 2554 ตลาดหุ้นอินเดียติดลบไปแล้วถึง 11.20% ซึ่งแม้ว่าผู้ลงทุนจะสามารถเข้าลงทุนได้ในราคาต้นทุนที่ค่อนข้างต่ำ แต่การเข้าลงทุนในช่วงนี้ยังต้องเผชิญความผันผวนและมีโอกาสขาดทุนจากแรงเทขายของต่างชาติ
อย่างไรก็ตามคาดว่าปลายเดือนมีนาคมถึงเมษายนนี้ ต่างชาติน่าจะหยุดการเทขายทำกำไร จึงน่าจะเป็นจังหวะที่ดีสำหรับการเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นอินเดีย เนื่องจากเป็นช่วงที่คาดว่าตลาดน่าจะจะปรับตัวลงต่ำสุดและน่าพิจารณาเข้าลงทุน นอกจากนี้การที่แรงกดดันเงินเฟ้อเริ่มส่งสัญญาณคลี่คลายจะเป็นปัจจัยบวกให้ธนาคารกลางอินเดียเริ่มชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกด้วย โดยคาดว่าในปีนี้ธนาคารกลางของ
"อินเดียจะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นอีกเพียงครั้งเดียวที่อัตรา 0.25% เท่านั้น จาก 5.50% ไปเป็น 5.75% ในการประชุมเดือนมีนาคม 2554 หลังจากได้ปรับขึ้นมาโดยตลอดถึง 3.25% ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งการชะลอการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายจะช่วยทำให้ต้นทุนการกู้ยืมไม่ปรับตัวสูงขึ้นไปอย่างต่อเนื่องอย่างที่เป็นมาตลอดทั้งปีที่ผ่านมา จึงย่อมส่งผลดีต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน และตลาดหุ้นอินเดียเองก็น่าจะปรับตัวขึ้นจากอานิสงส์ของผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ดีขึ้นด้วย” นายพัชรกล่าว
นายพัชร กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาบริษัทได้รับการตอบรับอย่างดีในการเสนอขายกองทุนตราสารหนี้อินเดีย มูลค่ากว่า 11,000 ล้านบาท และเป็น บลจ. เพียงแห่งเดียวในประเทศไทยที่เข้าลงทุนในตราสารหนี้อินเดียในปี 2553 โดยตอนนี้ยังไม่มีตราสารหนี้ใหม่ๆ ออกมาให้ลงทุนในช่วงนี้ เนื่องจากรัฐบาลอินเดียยังคุมเข้มเรื่องเงินลงทุนไหลเข้าจากต่างประเทศอยู่พอสมควร ส่วนตลาดหุ้นอินเดีย มีระดับ P/E คาดการณ์สำหรับปี 2555 อยู่ที่ 14 เท่า ซึ่งถือว่าต่ำพอสมควรเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยระยะยาวซึ่งอยู่ที่ 19 เท่าจึงนับเป็นทางเลือกที่น่าสนใจของนักลงทุน