ASTVผู้จัดการรายวัน-บลจ.กสิกรไทยสบช่องลุยหุ้นแดนภารตะ ส่ง"K-INDIA"IPO ระหว่างวันที่ 12-31 พ.ค.นี้ เอาใจลูกค้าชอบเสี่ยงรับผลตอบแทนสูง มั่นใจเศรษฐกิจแกร่งดันตลาดหุ้นขยายตัวเพิ่มอีก ระบุปัจจัยเสี่ยงเริ่มคลี่คลาย ทั้งในส่วนของเงินเฟ้อ และการไหลออกของเงินทุนต่างชาติ พร้อมคาดกำไรบริษัทจดทะเบียนโตอีกแน่ 15-20%
นายพัชร สมะลาภา กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ. กสิกรไทย) เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมทำการเปิดขาย กองทุนเปิดเค อินเดีย หุ้นทุน (K India Equity Fund : K-INDIA)ในระหว่างวันที่ 12-31 พฤษภาคม นี้ เพื่อเป็นทางเลือกแก่ผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงจากการลงทุนในต่างประเทศ และคาดหวังโอกาสรับผลตอบแทนสูงจากการลงทุนในตลาดหุ้นอินเดีย
สำหรับกองทุนดังกล่าว จะเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน UTI India Fund – 1986 share ภายใต้การบริหารของ UTI International บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนที่มีทีมผู้จัดการกองทุนและนักวิเคราะห์ซึ่งประจำอยู่ในอินเดียโดยตรง ซึ่งไม่เพียงมีความชำนาญในการลงทุนในตลาดหุ้นของอินเดียซึ่งมีความผันผวนค่อนข้างสูงเป็นอย่างดี ยังมีความได้เปรียบในด้านข้อมูลและความเข้าใจเชิงลึกในสภาวะเศรษฐกิจและปัจจัยการลงทุนต่างๆ ในประเทศอินเดีย
ทั้งนี้ กองทุนจะมีนโยบายปันผลไม่เกิน 4 ครั้งต่อปี และมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 ของมูลค่าเงินลงทุนในต่างประเทศ
"เราเชื่อว่า กองทุน K-INDIA เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เนื่องจากตลาดหุ้นอินเดียยังมี P/E ที่น่าสนใจ และมีผลประกอบการที่เติบโตเร็วโดยนักวิเคราะห์คาดว่า ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นอินเดียในปีนี้และปีหน้า จะเติบโตในระดับสูงราวๆ 15% - 20%"นายพัชรกล่าว
ส่วนปัจจัยที่เป็นความเสี่ยงก่อนหน้านี้ นายพัชร กล่าวว่า ปัจจุบันปัญหาต่างๆ ได้เริ่มคลี่คลายลง โดยเริ่มมีเงินลงทุนจากทั่วโลกไหลกลับเข้ามาในอินเดีย และประเทศตลาดเกิดใหม่มากขึ้น ส่วนอัตราเงินเฟ้อในอินเดียซึ่งเคยเป็นประเด็นที่น่ากังวลเพราะอยู่ในระดับค่อนข้างสูงก็ได้ปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับเมื่อช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาด้วยมาตรการแก้ไขอย่างจริงจังจากรัฐบาลอินเดีย ขณะเดียวกันราคาน้ำมันก็ปรับลดลงมาซึ่งน่าจะช่วยลดแรงกดดันเรื่องอัตราเงินเฟ้อในอินเดียได้อีกทางหนึ่ง
ด้านนายธนวัฒน์ รุ่งธนาภิรมย์ ผู้บริหารฝ่ายจัดหาผลิตภัณฑ์ใหม่และจัดการกองทุนต่างประเทศ กล่าวว่า เศรษฐกิจอินเดียมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีขายเศรษฐกิจมูลค่า 1.4 ล้านล้านสหรัฐฯ ใหญ่เป็นอันดับ 2 ในเอเชีย และเป็นอันดับที่ 11 ของโลก โดยคาดว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศปี 2011 จะมากที่สุดในโลกอยู่ที่ 9% จากปัจจัยหนุนของการบริโภคภายในประเทศ ที่มีประชากรมากเป็นอันดับ 2 ของโลก และส่วนใหญ่ยังอยู่ในวัยทำงานมากกว่า 60%
นอกจากนี้ ยังมีการลงทุนของภาครัฐระหว่างปี 2012-2017 กว่า 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ โดยจากเดิมที่มีความกังวลเกี่ยวกับปัญหาการขาดดุลงบประมาณของภาครัฐ ปัจจุบันได้มีอัตราลดลงอีกทั้งส่วนใหญ่ยังเป็นการก่อหนี้ภายในประเทศ รวมถึงการมีเงินออมจำนวนมากในระบบเพื่อสนับสนุนการลงทุนของภาครัฐและเอกชนน่าจะเป็นผลดีและคลี่คลายปัญหาดังกล่าว
"ปัญหาต่างๆ เริ่มคลี่คลายเงินเฟ้อที่กังวลและการขึ้นดอกเบี้ยหลายครั้งของภาครัฐเชื่อว่าคงจะขึ้นอีกไม่มาก ปีนี้คงไม่เกิน 05% และปัจจุบันจะเห็นเม็ดเงินลงทุนเข้ามาทั้งในตลาดตราสารหนี้และหุ้น ซึ่งหากมองผลการดำเนินงานของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์จะพบว่ามีการเติบโตประมาณ 15-20% และในอีก 5 ปีข้างหน้าก็น่าจะโตแบบนี้ทุกปี ซึ่งเมื่อเทียบกับจากค่าP/E แล้วยังอยู่ในระดับที่ต่ำถึงแม้ในปีที่ผ่านมาจะปรับขึ้นมาบ้างแต่ก็ยังคงต่ำกว่าในอดีตอยู่"นายธนวัฒน์กล่าว
นายพัชร สมะลาภา กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ. กสิกรไทย) เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมทำการเปิดขาย กองทุนเปิดเค อินเดีย หุ้นทุน (K India Equity Fund : K-INDIA)ในระหว่างวันที่ 12-31 พฤษภาคม นี้ เพื่อเป็นทางเลือกแก่ผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงจากการลงทุนในต่างประเทศ และคาดหวังโอกาสรับผลตอบแทนสูงจากการลงทุนในตลาดหุ้นอินเดีย
สำหรับกองทุนดังกล่าว จะเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน UTI India Fund – 1986 share ภายใต้การบริหารของ UTI International บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนที่มีทีมผู้จัดการกองทุนและนักวิเคราะห์ซึ่งประจำอยู่ในอินเดียโดยตรง ซึ่งไม่เพียงมีความชำนาญในการลงทุนในตลาดหุ้นของอินเดียซึ่งมีความผันผวนค่อนข้างสูงเป็นอย่างดี ยังมีความได้เปรียบในด้านข้อมูลและความเข้าใจเชิงลึกในสภาวะเศรษฐกิจและปัจจัยการลงทุนต่างๆ ในประเทศอินเดีย
ทั้งนี้ กองทุนจะมีนโยบายปันผลไม่เกิน 4 ครั้งต่อปี และมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 ของมูลค่าเงินลงทุนในต่างประเทศ
"เราเชื่อว่า กองทุน K-INDIA เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เนื่องจากตลาดหุ้นอินเดียยังมี P/E ที่น่าสนใจ และมีผลประกอบการที่เติบโตเร็วโดยนักวิเคราะห์คาดว่า ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นอินเดียในปีนี้และปีหน้า จะเติบโตในระดับสูงราวๆ 15% - 20%"นายพัชรกล่าว
ส่วนปัจจัยที่เป็นความเสี่ยงก่อนหน้านี้ นายพัชร กล่าวว่า ปัจจุบันปัญหาต่างๆ ได้เริ่มคลี่คลายลง โดยเริ่มมีเงินลงทุนจากทั่วโลกไหลกลับเข้ามาในอินเดีย และประเทศตลาดเกิดใหม่มากขึ้น ส่วนอัตราเงินเฟ้อในอินเดียซึ่งเคยเป็นประเด็นที่น่ากังวลเพราะอยู่ในระดับค่อนข้างสูงก็ได้ปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับเมื่อช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาด้วยมาตรการแก้ไขอย่างจริงจังจากรัฐบาลอินเดีย ขณะเดียวกันราคาน้ำมันก็ปรับลดลงมาซึ่งน่าจะช่วยลดแรงกดดันเรื่องอัตราเงินเฟ้อในอินเดียได้อีกทางหนึ่ง
ด้านนายธนวัฒน์ รุ่งธนาภิรมย์ ผู้บริหารฝ่ายจัดหาผลิตภัณฑ์ใหม่และจัดการกองทุนต่างประเทศ กล่าวว่า เศรษฐกิจอินเดียมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีขายเศรษฐกิจมูลค่า 1.4 ล้านล้านสหรัฐฯ ใหญ่เป็นอันดับ 2 ในเอเชีย และเป็นอันดับที่ 11 ของโลก โดยคาดว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศปี 2011 จะมากที่สุดในโลกอยู่ที่ 9% จากปัจจัยหนุนของการบริโภคภายในประเทศ ที่มีประชากรมากเป็นอันดับ 2 ของโลก และส่วนใหญ่ยังอยู่ในวัยทำงานมากกว่า 60%
นอกจากนี้ ยังมีการลงทุนของภาครัฐระหว่างปี 2012-2017 กว่า 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ โดยจากเดิมที่มีความกังวลเกี่ยวกับปัญหาการขาดดุลงบประมาณของภาครัฐ ปัจจุบันได้มีอัตราลดลงอีกทั้งส่วนใหญ่ยังเป็นการก่อหนี้ภายในประเทศ รวมถึงการมีเงินออมจำนวนมากในระบบเพื่อสนับสนุนการลงทุนของภาครัฐและเอกชนน่าจะเป็นผลดีและคลี่คลายปัญหาดังกล่าว
"ปัญหาต่างๆ เริ่มคลี่คลายเงินเฟ้อที่กังวลและการขึ้นดอกเบี้ยหลายครั้งของภาครัฐเชื่อว่าคงจะขึ้นอีกไม่มาก ปีนี้คงไม่เกิน 05% และปัจจุบันจะเห็นเม็ดเงินลงทุนเข้ามาทั้งในตลาดตราสารหนี้และหุ้น ซึ่งหากมองผลการดำเนินงานของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์จะพบว่ามีการเติบโตประมาณ 15-20% และในอีก 5 ปีข้างหน้าก็น่าจะโตแบบนี้ทุกปี ซึ่งเมื่อเทียบกับจากค่าP/E แล้วยังอยู่ในระดับที่ต่ำถึงแม้ในปีที่ผ่านมาจะปรับขึ้นมาบ้างแต่ก็ยังคงต่ำกว่าในอดีตอยู่"นายธนวัฒน์กล่าว