นายกสมาคมบลจ. ประเมิน 2 ปัจจัย เหตุกดดันดัชนีหุ้นไทย ทั้งความกังวลศก.มะกัออ่อนแออีกครั้ง และการปรับลดเครดิตหลักทรัพย์ทั้งหมดของสหรัฐลงสู่ขั้นขยะของฟิทช์ พร้อมเตือนสตินักลงทุน อย่าตื่นกับข่าวลบจนลงทุนผิดพลาด แนะให้ดูปัจจัยพื้นฐานประเทศเป็นหลัก
นางวรวรรณ ธาราภูมิ นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (สมาคม บลจ.) และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) บัวหลวง จำกัด เปิดเผยถึงภาพรวม
การลงทุนของตลาดหุ้นทั่วโลกว่า ปัจจุบันสถานการณ์ยังคงไม่ดีนัก เนื่องจากประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ออกยอมรับว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ ประกอบกับ
การหมดลงของโครงการไตรมาส 2 ของสหรัฐในสิ้นเดือนนี้ ส่งผลให้ตลาดหุ้นมีความเสี่ยงขาลง นักลงทุนทั่วโลกจึงกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐอาจจะกลับเข้าสู่ความอ่อนแออีกครั้ง จึงลดการลงทุน
ในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงลง เช่น หุ้น และกลับเข้าสู่สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำแทน เช่น พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวลดลงและส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลก
ขณะเดียวกันฟิทช์ จะปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของหลักทรัพย์ทั้งหมดของกระทรวงการคลังสหรัฐลงสู่ขั้นขยะ (Junk) หรือ ต่ำกว่าระดับน่าลงทุน (Investment Grade) หากรัฐบาลสหรัฐผิดนัดชำระหนี้ภายในวันที่ 15 สิงหาคม 2554 นี้ และแม้ว่าจะชำระหนี้ได้ในเวลาต่อมาซึ่งจะได้ปรับอันดับความน่าเชื่อถือให้สูงขึ้นอีก แต่อาจจะไม่กลับขึ้นไปสู่อันดับ AAA เหมือนเดิม
ด้านนายเจมส์ บูลลาร์ด ประธานธนาคารกลางสหรัฐ สาขาเซนต์หลุยส์ ระบุว่า การผิดนัดชำระหนี้ของสหรัฐจะส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อตลาดโลกนักวิเคราะห์อาวุโสของมูดี้ส์กล่าวว่า อังกฤษเผชิญความเสี่ยงที่จะสูญเสียอันดับความน่าเชื่อ ถือที่ AAA ถ้าหากเศรษฐกิจยังคงอ่อนแอ และรัฐบาลไม่สามารถบรรลุเป้าการลดหนี้ได้ไอเอ็มเอฟระบุว่ารัฐบาลญี่ปุ่นควรปรับขึ้นภาษีมูลค่า
เพิ่ม (VAT) จาก 5% เป็น 7% หรือ 8% ตั้งแต่ปีหน้าเพื่อนำเงินไปฟื้นฟูบูรณะประเทศ และควรปรับขึ้นต่อไปสู่ระดับ 15% เพื่อลดภาระหนี้สาธารณะในระยะยาวปัญหาของประเทศในกลุ่มอียูบาง
ประเทศ เช่น กรีซ ยังคงกดดันฯลฯ
นอกเหนือจากนี้แล้วความกังวลเรื่องความสงบภายในประเทศไทยหลังการเลือกตั้ง ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติกังวลต่อสถานการณ์ทางการเมืองไทยหลังการเลือกตั้ง เมื่อต้องลดพอร์ตการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง เช่นหุ้น จึงลดการลงทุนในสินทรัพย์ไทย ทั้งในรูปของหุ้น และตราสารหนี้ ในช่วงเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมา มีการขายรวมแล้วประมาณ 7.4 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นการขายพันธบัตรในตลาดตราสารหนี้ 5.7 หมื่นล้านบาท และขายหุ้น 1.7 หมื่นล้านบาท แต่มีข้อสังเกตว่าเพิ่งนำออกไปเพียง 3 หมื่นกว่าล้านบาทเท่านั้น
ขณะที่ Goldman Sach, เครดิตสวิสกรุ๊ปเอจี และนักวิเคราะห์ต่างชาติบางราย ออกบทวิเคราะห์แนะนำให้นักลงทุนชะลอการลงทุนในตลาดหุ้นไทยหรือลดน้ำหนักการลงทุนลง เนื่องจากความเสี่ยงทางการเมืองมีอยู่สูงภายหลังการเลือกตั้ง
นางวรวรรณ กล่าวแนะนำในการลงทุนกับเหตุการณ์ในครั้งนี้ว่า ทุกครั้งในภาวะที่ตลาดหุ้นผันผวน ไม่ว่าจะขึ้นหรือลง ขอให้นึกไปถึงปัจจัยพื้นฐานของประเทศไทย อย่าตื่นตระหนกหรือฮึกเหิมจนทำให้ตัดสินใจผิดพลาด สังคมไทยในวันนี้ เป็นสังคมที่เสพข่าวสารและมักคล้อยตามโดยในบางครั้งจะลืมคิดถึงความจริง ซึ่งถ้าลองพิจารณาข้อมูลด้านอื่นๆ บ้าง พบว่า ธนาคารโลก ชี้ว่าการขยายตัวในประเทศส่วนใหญ่ของเอเชียจะชะลอลงในปีนี้ รวมถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจในประเทศที่พัฒนา สำหรับเศรษฐกิจของประเทศไทยคาดว่าจะขยายตัว 3.7% ในปีนี้ โดยชะลอตัวลงจาก 7.8% ในปีที่แล้ว ซึ่งมีฐานการเติบโตจากปี 2552 ที่ติดลบ จึงขยายตัวสูงถึง 7.8% ในปี 2553 แต่จะขยายตัวเพิ่มขึ้นสู่ 4.2% ในปีหน้า และ 4.3% ในปี 2556 อย่างไรก็ตาม ธปท. มองว่าสถานการณ์ที่ต่างชาติขายหุ้นและตราสารหนี้ในไทยน่าจะเกิดเพียงชั่วคราว หลังการเลือกตั้งชัดเจนก็น่าจะกลับมาลงทุนอีก
ขณะที่ปลัดกระทรวงการคลัง มองว่า พื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังอยู่ในระดับแข็งแกร่ง ซึ่งเห็นได้จากช่วง 5 เดือนที่ผ่านมานั้น การเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มและการส่งออกในทุกสาขายังขยายตัวได้ดี ช่วงเดือน พ.ค. รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิสูงกว่าเป้า 18% โดยเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลจากกำไรสุทธิที่สูงกว่าเป้าหมายมาก ส่งผลให้ในช่วง 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2554 จัดเก็บรายได้สูงกว่าเป้าหมายเกิน 1.7 แสนล้านบาทแล้ว ด้าน บอร์ดบีโอไอ ไฟเขียวส่งเสริมลงทุน 9 โครงการ มูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านบาท ขณะที่ยอดคำขอรับส่งเสริม 5 เดือนแรก ทะลุ 2 แสนล้านบาท
นอกจากนี้ผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน พ.ค. อยู่ที่ 71.1 เพิ่มขึ้นจาก 70.5 ใน เม.ย. เป็นการเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 4 เดือน
ด้าน นายธนินทร์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการ ซีพี กล่าวว่า พื้นฐานเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันมีความแข็งแกร่งมากที่สุดตั้งแต่ทำธุรกิจซีพีมา 47 ปี และมีแนวโน้มจะเติบโตได้มากใน
เวทีโลกภายใต้เงื่อนไขการเมืองนิ่ง ไม่มีสีเหลืองสีแดง และต้องมีผู้นำที่มีวิสัยทัศน์และเป้าหมายบริหารงานที่ชัดเจน
ทั้งนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ชี้ว่าปัจจัยพื้นฐานการลงทุนในตลาดหุ้นไทยยังดีอยู่จากการที่บริษัทจดทะเบียนไทยมีกำไรสุทธิเติบโตสูงติดอันดับ 1 ใน 5 ของประเทศในแถบภูมิภาคนี้ โดยเติบโตถึง 30% ในไตรมาสแรกปีนี้เทียบกับปีก่อน ขณะที่ผลสำรวจของบลูมเบิร์กคาดว่าจะโต 20% นอกจากนี้ ผลตอบแทนจากเงินปันผลก็ดีที่สุดในภูมิภาค
อย่างไรก็ตามต้องไม่ลืมว่าปัจจัยพื้นฐานเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะใช้พิจารณาว่าอะไร ที่ไหน น่าลงทุน ลองกลับมาทบทวนเบื้องหลังความสำเร็จของนักลงทุนระดับโลกผู้เป็นตำนานกันบ้าง
ขณะที่ Benjamin Graham บิดาแห่งการลงทุนแบบ Value Investment บอกว่านักลงทุนผู้ชาญฉลาด ไม่ได้หมาย ความว่าต้องมีไอคิวหรือมีการศึกษาสูง แต่หมายถึง ต้องอดทน มีวินัยใน
การลงทุน ขวนขวายหาความรู้อยู่เสมอ ศึกษาทำความเข้าใจกิจการที่สนใจอย่างละเอียด มีความรอบคอบก่อนที่จะตัดสินใจซื้อหุ้น และควบคุมอารมณ์ไม่ให้เหนือเหตุผลได้ดี เขาบอกว่า ในระยะ
สั้นราคาหุ้นจะขึ้นหรือลงนั้น จะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจซื้อขายของผู้เล่น ถ้าคนเชื่อและลงความเห็นว่า มันจะขึ้นมากกว่าคนที่คิดว่ามันจะลง ราคาหุ้นก็จะขึ้นตามการ "ลงคะแนน" ของนักลงทุน
แต่ในระยะยาวนั้น ราคาหุ้นจะขึ้นอยู่กับผลประกอบการของบริษัท ถ้ามีกำไรมาก ตลาดก็จะให้ราคาหุ้นสูงขึ้นตามกำไรหรือน้ำหนักนั้น
Warren Buffet บอกให้เราเลือกลงทุนในหุ้นของบริษัทที่ดี ในราคาที่เหมาะสม และถือมันตราบที่มันยังเป็นกิจการที่ดีอยู่ เวลาจะซื้อหุ้นก็ให้ดูก่อนว่า มันเป็นกิจการที่ดีหรือเปล่า ถ้าไม่ดี
อย่าซื้อ ถ้าดีก็ต้องดูว่าราคาหุ้นในขณะนั้นเหมาะสมหรือไม่ ถ้าแพงอย่าซื้อ ถ้าถูกค่อยซื้อ (นี่คือรากฐานของแนวคิด Good Stock + Good Trade = Good Performance ของ บลจ.บัวหลวง) นอกจาก
นี้ยังแนะนำให้เก็บหุ้นไว้ไม่ต้องคิดว่าจะขายแม้ว่าราคาหุ้นจะขึ้นหรือตก ให้ขายต่อเมื่อกิจการเริ่มไม่ดีแล้ว และให้เรากลัวเมื่อคนอื่นกำลังโลภ และให้เราโลภเมื่อคนอื่นกำลังกลัว เพราะในช่วงที่
ตลาดดีมาก การกลัวเมื่อคนอื่นโลภจะช่วยให้เรารอดจากหายนะได้ แต่ในยามวิกฤติที่ทุกคนกลัวและถอนตัวออกจากตลาด มันก็ยากมากที่เราจะรู้สึกโลภ
Peter Lynch เปิดเผยความสำเร็จในการลงทุนว่า ไม่ต้องไปสนใจการขึ้นลงของตลาด ให้ใช้เหตุผลในการซื้อขายเท่านั้น เพราะราคาหุ้นกับกำไรจะไปด้วยกันเสมอในระยะยาว และหากราคาหุ้นแยกออกไปจากกำไร ไม่ช้ามันจะวิ่งกลับไปหาเส้นกำไร อย่ากลัวเวลาราคาหุ้นตกหากกำไรของบริษัทยังดีอยู่ ยิ่งหุ้นลงยิ่งเป็นโอกาสซื้อ เพราะไม่ช้าราคาหุ้นจะวิ่งกลับมาตามกำไร และถ้าราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปเกินกำไรที่เพิ่มขึ้น ราคาหุ้นก็จะปรับตัวลงมาหาเส้นกำไร
Jesse Livermore ผู้เป็นตำนานของนักเก็งกำไรใน Wall Street บอกว่า ตลาดหุ้นเป็นอันตรายต่อคนที่ขี้เกียจ คนโง่ และคนที่ชอบรวยทางลัด เพราะการเก็งกำไรไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ทำให้คนรวยได้ในชั่วข้ามคืน และนักเก็งกำไรที่จะประสบความสำเร็จต้องทำงานหนักและ "ฉลาด"
ทบทวนเบื้องหลังความสำเร็จของกูรูด้านการลงทุนกันแล้ว ก็อย่าลืมทฤษฎีที่เป็นจริงที่สุดที่ว่า “เงิน ต้องมีที่ไป”
ในเมื่อประเทศตะวันตก เช่น สหรัฐอเมริกา และยุโรป ยังไม่พ้นจากปัญหาที่จะฟื้นฟูเศรษฐกิจและหนี้สิน คนที่เขามีเงิน ผู้จัดการกองทุนที่บริหารเงินมหาศาลทั่วโลกจะทำอย่างไร ในเมื่อต้องบริหารเงินของผู้ลงทุน เงินจึงต้องไหลไปในที่ที่คาดว่าจะให้ผลตอบแทนที่พอใจและเหมาะสมกับความเสี่ยง
หากมองว่าทั้งโลกแย่แล้ว ลงทุนหุ้นก็เสี่ยงสูงไปในภาวะที่ไม่แน่นอน ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไม่ว่าประเทศไหนก็เสี่ยงว่ารัฐบาลประเทศนั้นๆ จะไม่สามารถใช้คืนหนี้พันธบัตรที่เราไปลงทุนได้ เงินจะไหลไปไหน
หากเป็นประเด็นข้างต้น ลงทุนในอะไรที่ประเทศไหนก็น่ากลัวทั้งนั้น เงินจะไหลไปอยู่ในสินทรัพย์ที่เสี่ยงน้อยที่สุดในภาวะการณ์นั้น ซึ่งก็น่าจะเป็น ทองคำ (Safe Heaven)
แต่หากยังมีประเทศที่เศรษฐกิจยังไปได้ มีอัตราการเติบโต เดี๋ยวเดียวเงินที่ไหลไปก็จะไหลกลับมา
ประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ (Emerging Market หรือ EM) ยังมีปัจจัยพื้นฐานที่ดีอยู่ และมีอัตราการเติบโตที่ใช้ได้ โดยเฉพาะในเอเชีย แม้จะมีความเสี่ยงอยู่บ้างจากอัตราเงินเฟ้อ
เราน่าจะชินกับสถานการณ์ความไม่สงบทางการเมืองกันแล้ว ที่อยู่รอดมาได้ก็เพราะนักธุรกิจไทยทำงานกันอย่างหนัก จนส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของเรา และเดี๋ยวนี้เขาก็ออกมาโหมโรงต่อต้านคอร์รัปชั่นกันแล้วด้วย
รากฐานของนักธุรกิจเหล่านี้อยู่ในประเทศไทย เขาไม่ปล่อยให้ประเทศพังแน่ เพราะเขาจะพังไปด้วย ดังนั้น อย่าไปกลัวมากเกินไปกับนโยบายประชานิยมทั้งหลายที่เรากำลังห่วงกันว่าจะทำร้ายประเทศไทยในระยะยาว หรือจะทำให้เงินเฟ้อจนควบคุมไม่ได้ ทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย ข้าราชการกระทรวงการคลัง และพวกเราจะส่งสัญญาณเตือนไปยังรัฐบาลใหม่อย่างแน่นอนหากมีแนวโน้มในทางลบมากเกินไป
นอกจากนี้ นโยบายเศรษฐกิจบางนโยบายของพรรคการเมืองต่างๆ ก็ดูจะดีต่อประเทศ หากมองอย่างไร้อคติ เชื่อไหม หากจะบอกว่า สักวันหนึ่งไม่นานนัก ไม่น่าจะเกิน 2 ปี ทุกคนจะเหนื่อยและคิดได้
เราเหนื่อยกันมาหลายปีแล้ว กีฬาแข่งกันยังมีเวลาเลิก จึงเชื่อว่าบ้านเมืองคงจะอยู่กันแบบที่ผ่านมานี้ได้อีกไม่เกิน 2 ปี แล้วก็จะกลับเข้ามาอยู่ในวิถีที่ควรจะเป็นจะอยู่ร่วมกัน ซึ่งจะส่งผลดีต่อประเทศไทยที่มีตำแหน่งที่ตั้งที่ได้เปรียบและเป็นศูนย์กลางของประเทศต่างๆ ในภูมิภาคนี้ ขอเพียงแต่ให้เรามีผู้นำที่มีวิสัยทัศน์และเป้าหมายบริหารงานที่ชัดเจน เพื่อประโยชน์ของประเทศ
ชาติเท่านั้นเอง
ล่าสุด ตอนนี้กองทุนในประเทศก็เริ่มซื้อหุ้นแล้ว หลังจากที่ดัชนีหุ้นไทยปรับลดลงไปมาก โดยน่าจะมองกันว่าปัจจัยลบต่างๆ ได้สะท้อนไปในราคาหุ้นที่ลดลงไปมากแล้ว ซึ่งหากอ่าน
ถึงตรงนี้แล้วยังกลัว ไม่กล้าลงทุนในช่วงที่คนอื่นกลัว ก็ขอให้กลับไปอ่านใหม่ตั้งแต่ต้น และทำความเข้าใจที่ 4 กูรูต่างประเทศผู้ประสบความสำเร็จในการลงทุนชั้นเทพเขาแนะนำอีกที
แต่หากอ่านแล้วก็ยังไม่กล้า หัวใจไม่เข้มแข็งพอ ก็จะบอกว่าเราคงไม่เหมาะกับหุ้น เพราะลงทุนไปแล้ว นอนไม่หลับ หากซื้อหุ้นหรือกองทุนหุ้นแล้วราคามันตก ขาดทุน
เมื่อเป็นแบบนั้น ก็อย่าไปยุ่งกับหุ้น แค่ฝากเงินหรือซื้อกองทุนพันธบัตรก็พอแล้ว ถึงได้ผลตอบแทนน้อยหน่อย แม้จะแพ้เงินเฟ้อ แต่เราหัวถึงหมอนนอนหลับสบาย มันก็น่าจะเหมาะสม
กว่า เพราะความเข้มแข็งของหัวใจกับความอดทนของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ทั้งนี้ก็เงินของเราเอง เราถึงต้องตัดสินใจเอง ไม่มีใครมาการันตีให้เราได้หรอก