ASTVผู้จัดการรายวัน - บลจ.ไทยพาณิชย์ ชูหุ้น 3 เซกเอตร์หลัก "อาหาร-ธนาคารพาณิชย์-พลังงาน" น่าลงทุน แนะจังหวะดัชนีปรับฐาน เข้าเก็บ ประเมินไตรมาส 2 ถึงไตรมาส 3 ทั้ง 3 ธุรกิจยังไปได้ดี
นางสาวโศภนา เจนบวร รองกรรมการผู้อำนวยการ กลุ่มจัดการลงทุนตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.)ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า การลงทุนในหุ้นไทยช่วงนี้ เรามองว่ากลุ่มที่น่าสนใจมีอยู่ 3 เซกเตอร์หลัก คือ กลุ่มอาหาร กลุ่มธนาคารพาณิชย์ และกลุ่มพลังงาน
โดยหุ้นกลุ่มอาหาร มีความน่าสนใจอยู่ที่การเติบโตของธุรกิจในช่วงไตรมาส 2 และไตรมาส 3 ยังมีความน่าสนใจอยู่ เพราะกลุ่มอาหารถือเป็นสินค้าจำเป็นที่ทุกคนต้องใช้ ประกอบกับมีหลายปัจจัยเกื้อหนุนให้ราคาอาหารปรับตัวสูงขึ้นด้วย ซึ่งทำให้คีย์ของหุ้นกลุ่มนี้ อยู่ที่หุ้นที่ได้ประโยชน์จากราคาอาหารที่ปรับตัวขึ้น
ส่วนเซกเตอร์พลังงานและธนาคารพาณิชย์ โดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์นั้น ที่ผ่านมา โดนแรงขายทำกำไรมาค่อนข้างมาก โดยเฉพาะจากนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งจากแรงเทขายดังกล่าวส่งผลให้ราคาหุ้นในกลุ่มนี้ปรับลงมาในระดับที่น่าลงทุนแล้ว ประกอบกับแนวโน้มธุรกิจในช่วงไตรมาส 2 และไตรมาส 3 เอง ยังขยายตัวได้ดี เห็นได้จากการสินเชื่อที่ยังขยายตัวได้ดี และรายได้จากค่าฟีเองก็ยังสูงอยู่
สำหรับเซกเตอร์พลังงาน มองว่าที่ผ่านมา นักลงทุนจะให้ความสำคัญกับผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 1 มากกว่า และมองว่าไตรมาสสองจะแผ่วลงจากราคาน้ำมันที่ผันผวน แต่ความจริงแล้วในช่วงไตรมาส 2 เอง ถือว่าไม่ได้แย่อย่างที่นักลงทุนคาด แต่ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี ซึ่งการที่ราคาหุ้นปรับลงมาในช่วงนี้ ก็เป็นจังหวะที่ลงทุนได้เช่นกัน
นางสาวโศภนากล่าวว่า สำหรับอีกเซกเตอร์ที่น่าจับตาในระยะยาวคือ กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม เนื่องจากที่ผ่านมามีการขยายธุรกิจค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจเกี่ยวกับน้ำ ไฟฟ้า ซึ่งส่วนนี้เป็นเหมือนโครงสร้างพื้นฐานที่ยังมีดีมานด์อยู่อย่างต่อเนื่อง ดังนั้น จึงเป็นอีกเซกเตอร์ที่ลงทุนได้ในปีนี้
"ภาพรวมของตลาดหุ้นไทยในปีนี้ ยังเป็นแนวโน้มขาขึ้น แม้จะมีผันผวนในช่วงเดือนพฤษภาคม ตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวลดลงมาโดยล่าสุดลดลงมาอยู่ในระดับราว 1050 จุด จากที่ขึ้นไปสูงสุด 1109.92 จุด ในช่วงวันที่ 21 เมษายนที่ผ่านมา ในช่วงที่ตลาดหุ้นกำลังปรับตัวลงมานี้ ราคาหุ้นหลายตัวอาจปรับลงลึกเกินกว่าที่ควรจะเป็น จึงเป็นจังหวะลงทุนที่ควรทยอยสะสมเลือกลงทุนหุ้นที่พื้นฐานดีที่แนวโน้มผลกำไรเติบโตสูง จ่ายเงินปันผลดีในปีนี้ เนื่องจากมีปัจจัยบวกสนับสนุนอยู่หลายด้านไม่ว่าจะเป็นการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2554 ที่คาดว่าจะเติบโต 4-5% อัตราดอกเบี้ยแม้จะอยู่ในขาขึ้นแต่ยังคงอยู่ในระดับไม่สูงนักและสภาพคล่องภายในประเทศอยู่ในระดับสูง ผลประการบริษัทจดทะเบียนคาดว่าจะยังคงเติบโตต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง และจากการประเมินมูลค่าหุ้น(Valuation)ของตลาดหุ้นไทยยังคงไม่แพงเมื่อเทียบค่าเฉลี่ยภูมิภาค"นางสาวโศภนากล่าว
นางสาวโศภนา เจนบวร รองกรรมการผู้อำนวยการ กลุ่มจัดการลงทุนตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.)ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า การลงทุนในหุ้นไทยช่วงนี้ เรามองว่ากลุ่มที่น่าสนใจมีอยู่ 3 เซกเตอร์หลัก คือ กลุ่มอาหาร กลุ่มธนาคารพาณิชย์ และกลุ่มพลังงาน
โดยหุ้นกลุ่มอาหาร มีความน่าสนใจอยู่ที่การเติบโตของธุรกิจในช่วงไตรมาส 2 และไตรมาส 3 ยังมีความน่าสนใจอยู่ เพราะกลุ่มอาหารถือเป็นสินค้าจำเป็นที่ทุกคนต้องใช้ ประกอบกับมีหลายปัจจัยเกื้อหนุนให้ราคาอาหารปรับตัวสูงขึ้นด้วย ซึ่งทำให้คีย์ของหุ้นกลุ่มนี้ อยู่ที่หุ้นที่ได้ประโยชน์จากราคาอาหารที่ปรับตัวขึ้น
ส่วนเซกเตอร์พลังงานและธนาคารพาณิชย์ โดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์นั้น ที่ผ่านมา โดนแรงขายทำกำไรมาค่อนข้างมาก โดยเฉพาะจากนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งจากแรงเทขายดังกล่าวส่งผลให้ราคาหุ้นในกลุ่มนี้ปรับลงมาในระดับที่น่าลงทุนแล้ว ประกอบกับแนวโน้มธุรกิจในช่วงไตรมาส 2 และไตรมาส 3 เอง ยังขยายตัวได้ดี เห็นได้จากการสินเชื่อที่ยังขยายตัวได้ดี และรายได้จากค่าฟีเองก็ยังสูงอยู่
สำหรับเซกเตอร์พลังงาน มองว่าที่ผ่านมา นักลงทุนจะให้ความสำคัญกับผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 1 มากกว่า และมองว่าไตรมาสสองจะแผ่วลงจากราคาน้ำมันที่ผันผวน แต่ความจริงแล้วในช่วงไตรมาส 2 เอง ถือว่าไม่ได้แย่อย่างที่นักลงทุนคาด แต่ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี ซึ่งการที่ราคาหุ้นปรับลงมาในช่วงนี้ ก็เป็นจังหวะที่ลงทุนได้เช่นกัน
นางสาวโศภนากล่าวว่า สำหรับอีกเซกเตอร์ที่น่าจับตาในระยะยาวคือ กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม เนื่องจากที่ผ่านมามีการขยายธุรกิจค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจเกี่ยวกับน้ำ ไฟฟ้า ซึ่งส่วนนี้เป็นเหมือนโครงสร้างพื้นฐานที่ยังมีดีมานด์อยู่อย่างต่อเนื่อง ดังนั้น จึงเป็นอีกเซกเตอร์ที่ลงทุนได้ในปีนี้
"ภาพรวมของตลาดหุ้นไทยในปีนี้ ยังเป็นแนวโน้มขาขึ้น แม้จะมีผันผวนในช่วงเดือนพฤษภาคม ตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวลดลงมาโดยล่าสุดลดลงมาอยู่ในระดับราว 1050 จุด จากที่ขึ้นไปสูงสุด 1109.92 จุด ในช่วงวันที่ 21 เมษายนที่ผ่านมา ในช่วงที่ตลาดหุ้นกำลังปรับตัวลงมานี้ ราคาหุ้นหลายตัวอาจปรับลงลึกเกินกว่าที่ควรจะเป็น จึงเป็นจังหวะลงทุนที่ควรทยอยสะสมเลือกลงทุนหุ้นที่พื้นฐานดีที่แนวโน้มผลกำไรเติบโตสูง จ่ายเงินปันผลดีในปีนี้ เนื่องจากมีปัจจัยบวกสนับสนุนอยู่หลายด้านไม่ว่าจะเป็นการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2554 ที่คาดว่าจะเติบโต 4-5% อัตราดอกเบี้ยแม้จะอยู่ในขาขึ้นแต่ยังคงอยู่ในระดับไม่สูงนักและสภาพคล่องภายในประเทศอยู่ในระดับสูง ผลประการบริษัทจดทะเบียนคาดว่าจะยังคงเติบโตต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง และจากการประเมินมูลค่าหุ้น(Valuation)ของตลาดหุ้นไทยยังคงไม่แพงเมื่อเทียบค่าเฉลี่ยภูมิภาค"นางสาวโศภนากล่าว