บลจ.กรุงไทย มองเศรษฐกิจสหรัฐฯปรับตัวดีขึ้นส่งสัญญาณทยอยฟื้นตัว ส่งกองทุน"เคแทม ยูเอส ทริกเกอร์ ฟันด์" ชูจุดเด่นเลือหุ้น S&P500 เป็นราย Sector มั่นใจให้ผลอตอบแทนตามเป้า 11% ภายใน 11 เดือน เปิดขายไอพีโอแล้วตั้งแต่วันนี้ถึง 4 เมษายน 54 นี้
นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ไทยในปีนี้ค่อนข้างผันผวนกว่าปีที่ผ่านมา ประกอบการช่วงปี 2552-2553 ที่ผ่านมา SET Index ให้ผลตอบแทนเกือบ 100% ซึ่งในปีนี้ผลตอบของการลงทุนในหุ้นไทยอาจจะให้ผลตอบแทนไม่เหมือนช่วงสองปีที่ผ่านมา ขณะที่ตลาดหุ้นต่างประเทศโดยเฉพาะกลุ่มตลาดเกิดใหม่ก็มีความน่าสนใจ นอกจากนี้นักลงทุนหลายคนก็เริ่มหันกลับเข้าไปลงทุนในสหรัฐฯเนื่องจากเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีของเศรษฐกิจ
"ปี 2553 ที่สหรัฐฯเกิดวิกฤติเศรษฐกิจขึ้นมา ดัชนี S&P500 ให้ผลตอบแทนกับนักลงทุนประมาณ 12.8% ขณะที่ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนกว่า 40% เมื่อบเทียบช่วงปี 2552-2553 นั้น S&P500 ให้ผลตอบแทนกับนักลงทุนประมาณ 36% ในขณะที่ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนถึง 100% "นายสมชัย กล่าว
นายสมชัย อมรธรรม ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บลจ. กรุงไทย คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีการขยายตัวสูงขึ้นจาก 1.7% ในไตรมาสที่ 2 ปี 2553 มาอยู่ที่ประมาณ 4% ในไตรมาสที่ 2 ปี 2554 การปรับสูงขึ้นของเศรษฐกิจสหรัฐฯ น่าจะส่งผลให้ Sentiment ของเศรษฐกิจ และการบริโภคปรับตัวดีขึ้น และคาดว่า จะส่งผลให้การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวสูงขึ้น ทั้งนี้รัฐบาล และธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังคงใช้มาตราการการเงินการคลังที่ผ่อนคลาย ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้สภาพคล่องในตลาดอยู่ในระดับสูง และน่าจะทำให้มีเม็ดเงินบางส่วนไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น มีการปรับเงินลงทุนจากตราสารหนี้ มาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น เนื่องจากความเป็นไปได้ในการเกิด Double Dip ในสหรัฐฯ ลดลงมาก ส่งผลให้เงินลงทุนเริ่มไหลจากการลงทุนในตราสารหนี้มาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น ซึ่งหุ้นก็เป็นหนึ่งในสินทรัพย์เสี่ยงที่น่าจะได้รับผลประโยชน์จากการปรับการลงทุนดังกล่าว
โดยคาดว่าจะมีเม็ดเงินลงทุนสูงถึงเจ็ดแสนห้าหมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ที่จะไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นจากการปรับพอร์ตการลงทุนดังกล่าว อย่างไรก็ตามปัจจัยลบของสหรัฐฯที่ต้องติดตามได้แก่ ราคาน้ำมันในตลาดโลก หนี้สาธารณะของสหรัฐ ส่วนปัจจัยลบระยะสั้นคือ ผลกระทบของสึนามิของญี่ปุ่น
นาย นายสุทยุต เชื้อพานิช ผู้จัดการกองทุน บลจ.กรุงไทย มองว่า ดัชนี S&P500 ของสหรัฐฯมีความน่าสนใจเป็นอย่างมาก โดยนักวิเคราะห์หลายสถาบันประเมินว่าจะมีเงินเข้ามาลงทุนในดัชนี S&P500 เป็นจำนวนมากทั้งจากเงินจากมันนี่มาร์เก็ตภายในสหรัฐฯเอง หรือมาจากหุ้นที่เข้าไปลงทุนในอิมเมอร์จิ้นมาร์เก็ตที่ทยอยเข้ามา ทั้งนี้กองทุนเปิดเคแทม ยูเอส ทริกเกอร์ ฟันด์ จะเป็นการลงทุนใน ETF แบบ Sector โดยเราจะเลือก Sector ที่น่าสนใจประมาณ 1-6 กลุ่มที่คาดว่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีในการลงทุนเข้ามาในพอร์ต
นายวีระ วุฒิคงศิริกูล รองกรรมการผู้จัดการ บลจ.กรุงไทย กล่าวว่า การกระจายความเสี่ยงในการลงทุนเป็นสิ่งที่ดี ซึ่งบลจ.กรุงไทยได้เปิดขายกองทุนเปิดเคแทม ยูเอส ทริกเกอร์ ฟันด์ เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้กับนักลงทุน โดยนักลงทุนควรจัดสรรเงินลงทุนใหถูกต้องไม่ใช่แค่ว่าจะลงทุนในตราสารหนี้ และตราสารทุน แค่นั้นซึ่งการกระจายความเสี่ยงที่ดีควรมีการลงทุนให้หลากหลายรูปแบบโดยเฉพาะการกระจายไปลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งเรามองว่าตลาดหุ้นไทยจะมีความผันผวนมากขึ้น ส่วนเม็ดเงินลงทุนใหม่จากนักลงทุนต่างประเทศนั้นจะมีไม่มาก ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการโยกไปมาระหว่างตลาดตราสารหนี้ และตราสารทุน โดยปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนตราสารหนี้กว่า 370,00 ล้านบาท ซึ่งต้นปีที่ผ่านมาแค่ 320,000 ล้านบาทเท่านั้น
สำหรับกองทุนเปิดเคแทม ยูเอส ทริกเกอร์ ฟันด์ ( KTUR ) ในวันที่ 22 มี.ค. - 4 เม.ย. นี้ อายุโครงการประมาณ 11 เดือน หรืออายุโครงการอาจต่ำกว่า 11 เดือน หากเกิดเหตุตามเงื่อนไขการเลิกกองทุน โดยบริษัทสามารถเลิกกองทุนได้ก่อนครบอายุโครงการ หากมูลค่าหน่วยลงทุนไม่ต่ำกว่า 11.30 บาท ต่อหน่วยเป็นเวลา 3 วันทำการติดต่อกัน หรือมูลค่าหน่วยลงทุนไม่ต่ำกว่า 11.10 บาท ต่อหน่วย และทรัพย์สินของกองทุนเป็นเงินสดหรือเทียบเท่าเงินสดทั้งหมดในสกุลเงินบาท ณ วันทำการใด เงินลงทุนขั้นต่ำ 10,000 บาท มูลค่าที่ตราไว้หน่วยลงทุนละ 10 บาท
ทั้งนี้กองทุนจะเน้นลงทุนในอีทีเอฟหุ้นที่จดทะเบียน ในตลาดหลักทรัพย์ ของประเทศสหรัฐอเมริกา ที่สะท้อนผลการดำเนินงานของตราสารทุน โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน และลงทุนในต่างประเทศไม่น้อยกว่า ร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยส่วนที่เหลือจะลงทุนในตราสารแห่งทุน ตราสารแห่งหนี้ เงินฝาก และ /หรือ ตราสารอื่นใด ตามที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. กำหนด
นอกจากนี้บริษัทยังเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดกรุงไทย ฟอเรน ฟิกซ์อินคัม 4 เดือน 3 ( KTF4M3 ) เสนอขายในวันที่ 23 - 29 มีนาคม 2554 โดยกองทุนจะเน้นลงทุนในตั๋วเงินคลังที่ออกโดยรัฐบาลอิสราเอล ทั้ง 100% โดยผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณ 2.60% ต่อปี