ASTVผู้จัดการรายวัน - บลจ.กรุงไทย เปิดขายตราสารหนี้อิสราเอล อายุ 1 ปี ชูยิลด์ 3.10% ระบุเศรษฐกิจมีการเติบโตและการแข่งขันที่สูง ด้าน บลจ. ไทยพาณิชย์ ส่งกองบอนด์ระยะสั้น 3 กองรวดลงทุนผสมทั้งในและต่างประเทศ
นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ในระหว่างการเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดกรุงไทยตราสารหนี้ เอฟไอเอฟ 19 (KTFF19 ) อายุโครงการ 12 เดือน ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 14 มีนาคม 2554 โดยกองทุนนี้จะเน้นลงทุนในตราสารหนี้รัฐบาลอิสราเอล (A/A1/Positive โดย S&P) ทั้ง100% โดยเป็นตราสารสกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ ประเภท Euro Medium Term Note (EMTN) ซึ่งเป็นที่นิยมสำหรับการระดมเงินตราต่างประเทศและมีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน คาดว่าผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณ 3.10% ต่อปี
สำหรับกองทุนนี้เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนเพิ่มขึ้น กว่าการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทย (BBB+/A2/Positive โดย S&P) และเมื่อกองทุนครบอายุโครงการ จะสับเปลี่ยนเงินลงทุนไปยังกองทุนตลาดเงิน เพื่อให้ผู้ลงทุนมีโอกาสรับผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัย บลจ.กรุงไทย ได้รายงานว่า อิสราเอลเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วมีอัตราการเติบโตที่สูงมีโครงสร้างเศรษฐกิจที่ดี เน้นไปที่ R&D โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยี คุณภาพประชากรอยู่ในระดับสูงมากและ World Bank จัดให้เป็นประเทศที่มีความสามารถในการแข่งขันที่สูง และให้คะแนนด้านธรรมาภิบาลในระดับที่ค่อนข้างสูง โดยเฉพาะในด้านประสิทธิภาพของรัฐบาลและคุณภาพของกฎระเบียบต่างๆ นอกจากนี้ ดัชนีคอร์รัปชั่นยังบ่งถึงการคอร์รัปชั่นที่ค่อนข้างต่ำด้วย
ขณะที่ วิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นถึงความทนทานของเศรษฐกิจจากปัจจัยเสี่ยงภายนอก เศรษฐกิจส่งสัญญาณฟื้นตัวอย่างชัดเจน อัตราการขยายทางเศรษฐกิจในปี 2010 อยู่ที่ประมาณ 3.8%สูงกว่าประเทศพัฒนาแล้วหลายๆประเทศ ขณะที่อัตราการว่างงานอยู่ในระดับเกือบต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ อัตราเงินเฟ้ออยู่ในเกณฑ์ที่ดี นอกจากนี้อิสราเอลยังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับสหรัฐอเมริกา มีข้อตกลงระหว่างอิสราเอลและสหรัฐอเมริกา ภายใต้ JEDG ว่าสหรัฐฯจะค้ำประกันเงินกู้ ( Loan Guarantee )ให้กับอิสราเอลเพื่อสนับสนุนการออกพันธบัตรของรัฐบาลอิสราเอล
สำหรับ ภาวะตลาดตราสารหนี้ในกลุ่มประเทศตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ (MENA) เริ่มผ่อนคลายแรงกดดันจากความไม่สงบในประเทศลิเบีย และประเทศใกล้เคียง โดยสังเกตุได้จาก Credit Default Spread (CDS) ที่ปรับลดลง สำหรับตลาดอัตราดอกเบี้ยสวอประหว่างสกุลบาทต่อดอลล่าร์สหรัฐฯ ยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการคาดการณ์ว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มขึ้น ภาวะดังกล่าวทำให้การลงทุนในต่างประเทศและมีการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนผ่านอัตราดอกเบี้ยสวอปจะทำให้ได้รับผลตอบแทนเพิ่มขึ้นค่อนข้างมากประมาณ 1.80-2.00% (ดอลล่าร์พรีเมี่ยม) หลังจากแปลงกลับเป็นเงินบาท จึงเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการนำเงินลงทุนในต่างประเทศที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าการลงทุนในประเทศที่มีเครดิตเรตติ้งที่ต่ำกว่า
ด้านนางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ ยังคงมีนโยบายออกกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นอย่างต่อเนื่อง โดยจะมีกองทุนใหม่ออกมาอีก 3 กองทุน มีระยะเวลาลงทุน 3-6 เดือน ส่วนนโยบายการลงทุนจะมีให้เลือกทั้งที่เป็นเงินฝากธนาคารต่างประเทศผสมกับ ตราสารหนี้ระยะสั้นภายในประเทศไทยเพื่อเพิ่มผลตอบแทน กับกองทุนที่ลงในตราสารหนี้ระยะสั้นภายในประเทศอย่างเดียว โดยจะเสนอขายนับจากวันนี้ไปจนถึงวันที่ 14 มีนาคม 2554 ด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 10,000 บาท
โดยมีอยู่ 2 กองทุน มูลค่ากองทุนละ 5,000 ล้านบาท ที่เป็นการผสมเงินฝากธนาคารต่างประเทศกับตราสารหนี้ในประเทศ ได้แก่ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ตราสารหนี้ 6M10 (SCBFI6M10 ) อายุ 6 เดือน คาดผลตอบแทนประมาณ 2.75% ต่อปี มีนโยบายการลงทุนในเงินฝากธนาคารบาร์เคลย์ หรือ ธนาคาร HSBC หรือธนาคาร National Bank of Abu Dhabi ในสาธารณรัฐอาหรับเอมิเรสต์ (UAE)โดยมี อันดับความน่าเชื่อถือจากฟิทช์เรทติ้งส์ อยู่ที่ F1+ มีสัดส่วนการลงทุน 20% เงินฝากธนาคาร Union National Bank ในสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ อันดับความน่าเชื่อถืออยู่ ที่ F1 สัดส่วน 25% หุ้นกู้ระยะสั้นธนาคารทหารไทย และ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) อันดับความน่าเชื่อถืออยู่ที่ F1/ F1+ สัด ส่วน 50% ที่เหลือเป็นพันธบัตรรัฐบาลไทย 5% พร้อมปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Hedging) เรียบร้อยแล้ว เมื่อเปรียบเทียบกับกองทุนตราสารหนี้ประเภทเดียวกันที่อยู่ในตลาดขณะนี้ ถือได้ว่ากองทุนดังกล่าวให้ผลตอบแทนที่ดีมาก
นอกจากนี้ยังมีกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ตราสารหนี้ 3M5 (SCBFI3M5) อายุ 3 เดือน คาดผลตอบแทนประมาณ 2.50% ต่อปี โดยลงทุนในเงินฝากธนาคารออมสิน 20% หุ้น กู้ระยะสั้นและเงินฝากธนาคารต่างประเทศ ซึ่งได้รับการจัดอันดับเครดิตจากฟิทช์ เรทติ้งส์ อยู่ที่ F1/F1+ ในสัดส่วน 25% เท่ากัน คือ หุ้นกู้ระยะสั้นของธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ (ไทย) และ ธนาคารทหารไทย และเงินฝาก ธนาคาร Union National Bank ในสาธารณรัฐอาหรับเอมิเรสต์ ส่วนที่เหลือ ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทย 5%
นางโชติกา กล่าว ส่วนอีก 1 กองทุนที่เหลือจะเน้นลงทุนตราสารหนี้ ภายในประเทศเพียงอย่างเดียว ได้แก่ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์พันธบัตรรัฐบาล 6M93 (SCBGB6M93) อายุ 6 เดือน ลงทุนตั๋วเงินคลังและเงินฝากประจำธนาคารไทยพาณิชย์ คาดผลตอบแทนประมาณ 2.00% ต่อปี
นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ในระหว่างการเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดกรุงไทยตราสารหนี้ เอฟไอเอฟ 19 (KTFF19 ) อายุโครงการ 12 เดือน ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 14 มีนาคม 2554 โดยกองทุนนี้จะเน้นลงทุนในตราสารหนี้รัฐบาลอิสราเอล (A/A1/Positive โดย S&P) ทั้ง100% โดยเป็นตราสารสกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ ประเภท Euro Medium Term Note (EMTN) ซึ่งเป็นที่นิยมสำหรับการระดมเงินตราต่างประเทศและมีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน คาดว่าผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณ 3.10% ต่อปี
สำหรับกองทุนนี้เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนเพิ่มขึ้น กว่าการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทย (BBB+/A2/Positive โดย S&P) และเมื่อกองทุนครบอายุโครงการ จะสับเปลี่ยนเงินลงทุนไปยังกองทุนตลาดเงิน เพื่อให้ผู้ลงทุนมีโอกาสรับผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัย บลจ.กรุงไทย ได้รายงานว่า อิสราเอลเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วมีอัตราการเติบโตที่สูงมีโครงสร้างเศรษฐกิจที่ดี เน้นไปที่ R&D โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยี คุณภาพประชากรอยู่ในระดับสูงมากและ World Bank จัดให้เป็นประเทศที่มีความสามารถในการแข่งขันที่สูง และให้คะแนนด้านธรรมาภิบาลในระดับที่ค่อนข้างสูง โดยเฉพาะในด้านประสิทธิภาพของรัฐบาลและคุณภาพของกฎระเบียบต่างๆ นอกจากนี้ ดัชนีคอร์รัปชั่นยังบ่งถึงการคอร์รัปชั่นที่ค่อนข้างต่ำด้วย
ขณะที่ วิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นถึงความทนทานของเศรษฐกิจจากปัจจัยเสี่ยงภายนอก เศรษฐกิจส่งสัญญาณฟื้นตัวอย่างชัดเจน อัตราการขยายทางเศรษฐกิจในปี 2010 อยู่ที่ประมาณ 3.8%สูงกว่าประเทศพัฒนาแล้วหลายๆประเทศ ขณะที่อัตราการว่างงานอยู่ในระดับเกือบต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ อัตราเงินเฟ้ออยู่ในเกณฑ์ที่ดี นอกจากนี้อิสราเอลยังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับสหรัฐอเมริกา มีข้อตกลงระหว่างอิสราเอลและสหรัฐอเมริกา ภายใต้ JEDG ว่าสหรัฐฯจะค้ำประกันเงินกู้ ( Loan Guarantee )ให้กับอิสราเอลเพื่อสนับสนุนการออกพันธบัตรของรัฐบาลอิสราเอล
สำหรับ ภาวะตลาดตราสารหนี้ในกลุ่มประเทศตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ (MENA) เริ่มผ่อนคลายแรงกดดันจากความไม่สงบในประเทศลิเบีย และประเทศใกล้เคียง โดยสังเกตุได้จาก Credit Default Spread (CDS) ที่ปรับลดลง สำหรับตลาดอัตราดอกเบี้ยสวอประหว่างสกุลบาทต่อดอลล่าร์สหรัฐฯ ยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการคาดการณ์ว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มขึ้น ภาวะดังกล่าวทำให้การลงทุนในต่างประเทศและมีการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนผ่านอัตราดอกเบี้ยสวอปจะทำให้ได้รับผลตอบแทนเพิ่มขึ้นค่อนข้างมากประมาณ 1.80-2.00% (ดอลล่าร์พรีเมี่ยม) หลังจากแปลงกลับเป็นเงินบาท จึงเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการนำเงินลงทุนในต่างประเทศที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าการลงทุนในประเทศที่มีเครดิตเรตติ้งที่ต่ำกว่า
ด้านนางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ ยังคงมีนโยบายออกกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นอย่างต่อเนื่อง โดยจะมีกองทุนใหม่ออกมาอีก 3 กองทุน มีระยะเวลาลงทุน 3-6 เดือน ส่วนนโยบายการลงทุนจะมีให้เลือกทั้งที่เป็นเงินฝากธนาคารต่างประเทศผสมกับ ตราสารหนี้ระยะสั้นภายในประเทศไทยเพื่อเพิ่มผลตอบแทน กับกองทุนที่ลงในตราสารหนี้ระยะสั้นภายในประเทศอย่างเดียว โดยจะเสนอขายนับจากวันนี้ไปจนถึงวันที่ 14 มีนาคม 2554 ด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 10,000 บาท
โดยมีอยู่ 2 กองทุน มูลค่ากองทุนละ 5,000 ล้านบาท ที่เป็นการผสมเงินฝากธนาคารต่างประเทศกับตราสารหนี้ในประเทศ ได้แก่ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ตราสารหนี้ 6M10 (SCBFI6M10 ) อายุ 6 เดือน คาดผลตอบแทนประมาณ 2.75% ต่อปี มีนโยบายการลงทุนในเงินฝากธนาคารบาร์เคลย์ หรือ ธนาคาร HSBC หรือธนาคาร National Bank of Abu Dhabi ในสาธารณรัฐอาหรับเอมิเรสต์ (UAE)โดยมี อันดับความน่าเชื่อถือจากฟิทช์เรทติ้งส์ อยู่ที่ F1+ มีสัดส่วนการลงทุน 20% เงินฝากธนาคาร Union National Bank ในสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ อันดับความน่าเชื่อถืออยู่ ที่ F1 สัดส่วน 25% หุ้นกู้ระยะสั้นธนาคารทหารไทย และ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) อันดับความน่าเชื่อถืออยู่ที่ F1/ F1+ สัด ส่วน 50% ที่เหลือเป็นพันธบัตรรัฐบาลไทย 5% พร้อมปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Hedging) เรียบร้อยแล้ว เมื่อเปรียบเทียบกับกองทุนตราสารหนี้ประเภทเดียวกันที่อยู่ในตลาดขณะนี้ ถือได้ว่ากองทุนดังกล่าวให้ผลตอบแทนที่ดีมาก
นอกจากนี้ยังมีกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ตราสารหนี้ 3M5 (SCBFI3M5) อายุ 3 เดือน คาดผลตอบแทนประมาณ 2.50% ต่อปี โดยลงทุนในเงินฝากธนาคารออมสิน 20% หุ้น กู้ระยะสั้นและเงินฝากธนาคารต่างประเทศ ซึ่งได้รับการจัดอันดับเครดิตจากฟิทช์ เรทติ้งส์ อยู่ที่ F1/F1+ ในสัดส่วน 25% เท่ากัน คือ หุ้นกู้ระยะสั้นของธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ (ไทย) และ ธนาคารทหารไทย และเงินฝาก ธนาคาร Union National Bank ในสาธารณรัฐอาหรับเอมิเรสต์ ส่วนที่เหลือ ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทย 5%
นางโชติกา กล่าว ส่วนอีก 1 กองทุนที่เหลือจะเน้นลงทุนตราสารหนี้ ภายในประเทศเพียงอย่างเดียว ได้แก่ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์พันธบัตรรัฐบาล 6M93 (SCBGB6M93) อายุ 6 เดือน ลงทุนตั๋วเงินคลังและเงินฝากประจำธนาคารไทยพาณิชย์ คาดผลตอบแทนประมาณ 2.00% ต่อปี