สำรวจกองทุนรวมเดือนแรกปีกระต่าย สินทรัพย์ทั้งระบบวูบกว่า 3 หมื่นล้าน เหตุตลาดหุ้นผันผวนดัชนีหลุด 1,000 จุด แถมเจอแบงก์เปิดศึกดึงเงินฝาก ฉุดเงินลงทุนในบอนด์เกาหลีใต้ที่ครบอายุ ไม่ลงทุนต่อ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ถึงแม้ว่าที่ผ่านมา บรรดาบริษัทจัดการลงทุน (บลจ.) จะพยายามออกกองทุนตราสารหนี้ที่มีนโยบายลงทุนทั้งในและต่างประเทศ เพื่อรองรับเงินลงทุนจากกองทุนพันธบัตรเกาหลีใต้ที่ทยอยครบอายุ แต่ก็ไม่สามารถดึงเงินที่ไหลกลับมาได้ทั้งหมด เนื่องจากในส่วนของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญ ต่างออกเคมเปญดึงเงินฝากอัตราดอกเบี้ยพิเศษ ตามสัญญาณการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งปัจจัยดังกล่าว ส่งผลให้เดือนมกราคมที่ผ่านมา มีเงินลงทุนไหลออกจากระบบรวมทั้งสิ้นกว่า 30,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม การที่ดัชนีหุ้นไทยปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 1,000 จุด ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้มูลค่าทรัพย์สินของกองทุนหุ้นลดลงตามราคาหุ้นที่ปรับลดลงดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ในส่วนนี้เองมีนักลงทุนบางกลุ่มที่เห็นโอกาส ใส่เงินเข้ามาลงทุนเพิ่มเติมเช่นกัน
โดยจากการสำรวจเงินลงทุนในพอร์ตของแต่ละบลจ. จากการรายงานของสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (สมาคมบลจ.) พบว่า ณ วันที่ 28 มกราคม 2554 ที่ผ่านมา กองทุนรวมทั้งระบบมีเงินลงทุนลดลงถึง 30,284.50 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้ แยกเป็นการลดลงของกองทุนหุ้นประมาณ 17,313.45 ล้านบาทและกองทุนตราสารหนี้ (Fixed Income Fund) ประมาณ 15,362.91 ล้านบาท
ทั้งนี้ บลจ.ในเครือแบงก์ใหญ่ที่มีพอร์ตกองทุนบอนด์เกาหลีอยู่เป็นจำนวนมาก ต่างมีสินทรัพย์ลดลงกันถ้วนหน้า โดยบลจ.ไทยพาณิชย์ มีเงินไหลออกสูงที่สุด คิดเป็นมูงค่ารวม 12,912.77 ล้านบาท ตามมาด้วย บลจ.กสิกรไทย ที่มีสินทรัพย์ลดลงถึง 6,258.34 ล้านบาท ในขณะที่บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เอง ก็มีเงินลงทุนลดลงถึง 4,044.08 ล้านบาท ส่วนบลจ.บัวหลวง ลดลงไป 2,519.82 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของบลจ.กรุงไทย กลับยังมีสินทรัพย์เป็นบวก โดยในเดือนมกราคมที่ผ่านมา มีเงินลงทุนเพิ่มขึ้นประมาณ 2,272.90 ล้านบาท ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเงินลงทุนที่เพิ่มขึ้นมาจากการเสนอขายกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดุสิตธานี (DTCPF) มูลค่าประมาณ 4,000 ล้านบาทที่เพิ่งจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ในขณะที่บลจ.ยูโอบี (ไทย) ก็มีเงินลงทุนเพิ่มขึ้นประมาณ 1,086.13 ล้านบาท ซึ่งบลจ.ยูโอบีเอง ถือเป็นบลจ.ที่เสนอขายกองทุนพันธบัตรเกาหลีใต้ค่อนข้างน้อย
ก่อนหน้านี้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) รายงานข้อมูลการลงทุนในต่างประเทศประจำเดือนธันวาคม 2553 ที่ผ่านมาว่า ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2553 สำนักงาน ก.ล.ต. ได้จัดสรรวงเงินแล้วทั้งสิ้น 22,131 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 44% ของวงเงินที่ ธปท.จัดสรรให้ ส่วนจำนวนเงินมีการนำไปลงทุนจริง ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2553 คิดเป็น 65% ของวงเงินที่ ก.ล.ต.จัดสรรทั้งหมด และการลงทุนในต่างประเทศส่วนมาก 73% ยังคงเป็นการลงทุนในพันธบัตรเกาหลีใต้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ถึงแม้ว่าที่ผ่านมา บรรดาบริษัทจัดการลงทุน (บลจ.) จะพยายามออกกองทุนตราสารหนี้ที่มีนโยบายลงทุนทั้งในและต่างประเทศ เพื่อรองรับเงินลงทุนจากกองทุนพันธบัตรเกาหลีใต้ที่ทยอยครบอายุ แต่ก็ไม่สามารถดึงเงินที่ไหลกลับมาได้ทั้งหมด เนื่องจากในส่วนของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญ ต่างออกเคมเปญดึงเงินฝากอัตราดอกเบี้ยพิเศษ ตามสัญญาณการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งปัจจัยดังกล่าว ส่งผลให้เดือนมกราคมที่ผ่านมา มีเงินลงทุนไหลออกจากระบบรวมทั้งสิ้นกว่า 30,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม การที่ดัชนีหุ้นไทยปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 1,000 จุด ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้มูลค่าทรัพย์สินของกองทุนหุ้นลดลงตามราคาหุ้นที่ปรับลดลงดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ในส่วนนี้เองมีนักลงทุนบางกลุ่มที่เห็นโอกาส ใส่เงินเข้ามาลงทุนเพิ่มเติมเช่นกัน
โดยจากการสำรวจเงินลงทุนในพอร์ตของแต่ละบลจ. จากการรายงานของสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (สมาคมบลจ.) พบว่า ณ วันที่ 28 มกราคม 2554 ที่ผ่านมา กองทุนรวมทั้งระบบมีเงินลงทุนลดลงถึง 30,284.50 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้ แยกเป็นการลดลงของกองทุนหุ้นประมาณ 17,313.45 ล้านบาทและกองทุนตราสารหนี้ (Fixed Income Fund) ประมาณ 15,362.91 ล้านบาท
ทั้งนี้ บลจ.ในเครือแบงก์ใหญ่ที่มีพอร์ตกองทุนบอนด์เกาหลีอยู่เป็นจำนวนมาก ต่างมีสินทรัพย์ลดลงกันถ้วนหน้า โดยบลจ.ไทยพาณิชย์ มีเงินไหลออกสูงที่สุด คิดเป็นมูงค่ารวม 12,912.77 ล้านบาท ตามมาด้วย บลจ.กสิกรไทย ที่มีสินทรัพย์ลดลงถึง 6,258.34 ล้านบาท ในขณะที่บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เอง ก็มีเงินลงทุนลดลงถึง 4,044.08 ล้านบาท ส่วนบลจ.บัวหลวง ลดลงไป 2,519.82 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของบลจ.กรุงไทย กลับยังมีสินทรัพย์เป็นบวก โดยในเดือนมกราคมที่ผ่านมา มีเงินลงทุนเพิ่มขึ้นประมาณ 2,272.90 ล้านบาท ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเงินลงทุนที่เพิ่มขึ้นมาจากการเสนอขายกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดุสิตธานี (DTCPF) มูลค่าประมาณ 4,000 ล้านบาทที่เพิ่งจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ในขณะที่บลจ.ยูโอบี (ไทย) ก็มีเงินลงทุนเพิ่มขึ้นประมาณ 1,086.13 ล้านบาท ซึ่งบลจ.ยูโอบีเอง ถือเป็นบลจ.ที่เสนอขายกองทุนพันธบัตรเกาหลีใต้ค่อนข้างน้อย
ก่อนหน้านี้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) รายงานข้อมูลการลงทุนในต่างประเทศประจำเดือนธันวาคม 2553 ที่ผ่านมาว่า ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2553 สำนักงาน ก.ล.ต. ได้จัดสรรวงเงินแล้วทั้งสิ้น 22,131 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 44% ของวงเงินที่ ธปท.จัดสรรให้ ส่วนจำนวนเงินมีการนำไปลงทุนจริง ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2553 คิดเป็น 65% ของวงเงินที่ ก.ล.ต.จัดสรรทั้งหมด และการลงทุนในต่างประเทศส่วนมาก 73% ยังคงเป็นการลงทุนในพันธบัตรเกาหลีใต้
