บลจ.อยุธยา ตั้งเป้าปีกระต่าย ดันสินทรัพย์โตทะลุหลักแสนล้าน หรือขยายตัวอีก 20% เดินหน้ารุก 3 ธุรกิจหลัก กองทุนรวม กองทุนส่วนบุคคลและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ล่าสุด ประเดิมกองหุ้นกองแรกของปี "กรุงศรีอิควิตี้ 10% ทาร์เก็ต 3" เน้นหาผลตอบแทนในหุ้นพื้นฐานดี ล็อคเป้า 1 ปี ปั้นผลตอบแทน 10% เปิดขายไอพีโอถึง 26 มกราคมนี้
นายฉัตรพี ตันติเฉลิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อยุธยา จำกัด หรือเอวายเอฟ เปิดเผยว่า ปี 2553 ที่ผ่านมาบริษัทมีสินทรัพย์สุทธิภายใต้การบริหาร (AUM) เพิ่มขึ้นเป็น 89,871.11 ล้านบาท จากสิ้นปี 2552 ที่ 64,551.84 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 39.22% แบ่งเป็นธุรกิจกองทุนรวมที่มีสินทรัพย์สุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 55,745.54 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.69% ธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมีสินทรัพย์สุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 15,701.52 ล้านบาท และธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลมีสินทรัพย์สุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 18,424.06 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 104.82% ซึ่งถือเป็นปีที่บริษัทมีการเติบโตค่อนข้างสูงปีหนึ่งเลยทีเดียว
โดยในปี 2554 นี้ บริษัทตั้งเป้าที่จะเพิ่ม AUM ไปที่ ระดับ 110,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 20% เป็นการขยับทะลุ AUM ระดับ 100,000 ล้านบาท ขึ้นไปให้ได้ในปีนี้
"การที่ AUM จะโตขึ้นมาได้อย่างมีนัยสำคัญคง ต้องขึ้นกับธนาคารกรุงศรีอยุธยาซึ่งเป็นแบงก์แม่รวมทั้งพาร์ทเนอร์ที่เป็น ตัวแทนขายให้บริษัทด้วยว่าจะช่วยสนับสนุนการขายได้มากน้อยขนาดไหน เพราะต้องยอมรับว่าเมื่อเศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัว การปล่อยสินเชื่อของธนาคารก็ปรับตัวดีขึ้นด้วย นั่นอาจทำให้แบงก์เองมีความต้องการเงินฝากมากขึ้นด้วยซึ่งน่าจะเป็น สถานการณ์เดียวกันกับทุกแบงก์ ซึ่งตรงนี้อาจเป็นปัจจัยที่จะส่งผลต่อเป้าหมาย AUM ที่ ตั้งไว้ด้วยเช่นกัน”นายฉัตรพีกล่าว
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวต่อว่า ปีนี้บริษัทยังคงรุกขยายตลาดไปในทุกธุรกิจ แต่ในส่วนของธุรกิจกองทุนรวมเครือข่ายแบงก์แม่และพันธมิตรที่เป็นตัวแทนขาย ยังถือเป็นช่องทางหลักที่มีความสำคัญในการสนับสนุนการเติบโตให้เกิดขึ้นได้อย่างจริงจัง ซึ่งตรงนี้ต้องขึ้นกับนโยบายของแบงก์แม่ด้วยเช่นกัน ในส่วนธุรกิจกองทุนส่วนบุคคล บริษัทคาดว่าน่าจะมีการเติบโตที่ดีอย่างต่อ เนื่องได้จากผลงานที่ผ่านมาของบริษัทที่เริ่มเป็นที่รู้จักและยอมรับของนัก ลงทุนสถาบันมากยิ่งขึ้น ทำให้มีโอกาสจะเข้าไปบริหารเม็ดเงินของนักลงทุน สถาบันทั้งในและต่างประเทศมากขึ้นทั้งในส่วนของประกัน สถาบันการเงิน หรือมูลนิธิต่างๆ ที่อาจจะมีเม็ดเงินเพิ่มมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
สำหรับธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเองการเติบโตอาจจะไม่มากนักเพราะมีการแข่งขันค่อนข้างสูงใน ขณะที่ตลาดยังมีเท่าเดิม อย่างไรก็ตาม บริษัทก็พร้อมที่จะเข้าไปเสนองานเพื่อเปิดตลาดใหม่เพิ่มเติม อย่างต่อเนื่อง
“ปัจจุบันโพรดักท์กองทุนรวมของบริษัทค่อนข้างครบทุกประเภท แต่บริษัทยังคงมองหาโอกาสการลงทุนในต่างประเทศอยู่ตลอดเวลา ถ้ามีจังหวะอาจจะออกกองทุนประเภททาร์เก็ตฟันด์ได้เช่นกัน ในส่วนของกองทุนพันธบัตรเกาหลีใต้บริษัทมีไม่มาก และหวังว่าจะมีโอกาสดึงเงินจากกองทุนพันธบัตรเกาหลีใต้ที่ครบกำหนดจากบ ลจ.อื่นเข้ามาลงทุนกับกองทุนตราสารตลาดเงินและกองทุนตราสารหนี้ของบริษัท ด้วยเช่นกัน”ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกล่าว
ล่าสุด บริษัทได้ประเดิมเสนอขายกองทุนหุ้นเป็นกองทุนแรกของปี นั่นคือ กองทุนเปิดกรุงศรีอิควิตี้ 10% ทาร์เก็ต 3 (KFEQ10-3) เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่ต้องการลงทุนระยะสั้นกับกองทุนประเภททาร์เก็ตฟันด์ (Target Fund) โดยกองทุนดังกล่าว เป็นกองทุนที่กำหนดเป้าหมายและจ่ายคืนผลตอบแทนให้แก่ผู้ลงทุนเมื่อหน่วยลงทุนมีมูลค่าเพิ่มประมาณ10% หรือไม่ต่ำกว่า 11.11 บาทต่อหน่วย ภายในระยะเวลาประมาณ 1 ปีหรือน้อยกว่า
ทั้งนี้ กองทุนจะเน้นลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดีและมีแนวโน้มการเติบโตสูงโดยใช้กลยุทธ์การลงทุนที่อาศัยความเชี่ยวชาญในการเลือกหลักทรัพย์และความคล่องตัวในการปรับกลยุทธ์การลงทุนตามสถานการณ์เพื่อสร้างผลตอบแทนตามเป้าหมายภายใต้ความเสี่ยงที่เหมาะสม
นายฉัตรพีกล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทมีมุมมองในเชิงบวกกับตลาดหุ้นไทยที่ยังคงน่าลงทุน เมื่อเทียบกับตลาดอื่นในภูมิภาค เนื่องจากเศรษฐกิจไทยในปี 2554 ยังคงขยายตัวในระดับดีด้วยการขับเคลื่อนจากการบริโภคและการลงทุน รวมถึงเมื่อพิจารณาถึงผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทย พบว่ายังอยู่ในระดับดีและคาดว่าจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่องราว 18-20% นอกจากนี้ตลาดหุ้นไทยยังคงได้รับประโยชน์จากกระแสเงินทุนไหลเข้า อีกทั้งการคาดการณ์ P/E ของตลาดหุ้นไทยในปี 2554 ถึงแม้ว่าจะมีความใกล้เคียงกับตลาดภูมิภาค แต่อัตราการเติบโตของกำไร (EPS Growth) จะสูงกว่าหลายเท่า ซึ่งในระยะเวลาอันสั้น กองทุนเปิดกรุงศรีอิควิตี้ 10% ทาร์เก็ต 3 (KFEQ10-3) จะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของผู้ลงทุนที่ยังคงสนใจลงทุนในตลาดหุ้นไทย
สำหรับกองทุนเปิดกรุงศรีอิควิตี้ 10% ทาร์เก็ต 3 (KFEQ10-3) จะเปิดเสนอขายครั้งเดียวระหว่างวันที่ 20-26 มกราคม 2554 นี้ ลงทุนขั้นต่ำ 10,000 บาท