บลจ.พร้อมใจกระหน่ำกองทุนตราสารหนี้ แข่งเงินฝากปรับดอกเบี้ย ชูทางเลือกลงทุนสั้นๆ ตั้งแต่ 3 เดือนถึง 1 ปี จูงใจด้วยผลตอบแทนไม่เสียภาษี
นายวศิน วัฒนวรกิจกุล กรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจกองทุนรวม บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) บัวหลวง จำกัด กล่าวว่า การที่คณะกรรมการนโยบายการเงินธนาคารแห่งประเทศไทยมีมติปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ 2.25 ต่อปี ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดในรอบ 2 ปีนั้น สอดคล้องกับการที่ในไตรมาส 4 ปี พ.ศ. 2553 อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจมีอัตราเพิ่มอย่างมากเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อันเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของการจ้างงาน และการใช้กำลังการผลิตสินค้าเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ การปรับเพิ่มดอกเบี้ยนโยบายดังกล่าว เป็นสิ่งที่ผู้ค้าตราสารหนี้ในตลาดมีการคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว ดังจะพิจาณาได้จากผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลที่มีการซื้อขายมีการปรับเพิ่มสูงขึ้นก่อนหน้าการประกาศ ดังนั้นภายหลังการประกาศการปรับเพิ่มดอกเบี้ยนโยบาย อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลที่ซื้อขายในตลาดจึงไม่ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากนัก อย่างไรก็ตามอัตราดอกเบี้ยนโยบายหลังจากปรับเพิ่มครั้งนี้ยังคงต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ย ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ประมาณร้อยละ 3.20 ต่อปี ดังนั้นธนาคารแห่งประเทศไทยคงยังมีโอกาสปรับเพิ่มดอกเบี้ยนโยบายได้ โดยการปรับเพิ่มดอกเบี้ยนโยบายนี้ทางธนาคารแห่งประเทศไทยคาดว่าจะดำเนินการให้สอดคล้องกับตัวเลขเศรษฐกิจที่จะประกาศออกมาในแต่ละช่วง
สำหรับทิศทางของดอกเบี้ยเงินฝากภายหลังการปรับเพิ่มดอกเบี้ยนโยบาย ธนาคารกรุงเทพประกาศเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเงินฝากสะสมสำหรับบุคคลธรรมดาจากร้อยละ 0.50 ต่อปี เป็นร้อยละ 0.625 ต่อปี ขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือน ก่อนหักภาษี มีการปรับเพิ่มจากร้อยละ 1.375-1.625 ต่อปี เป็นร้อยละ 1.375-1.75 ต่อปี
นายวศินกล่าวต่อว่า จากแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้นดังกล่าว บริษัทได้เสนอขายกองทุนรวมบัวหลวงธนรัฐ 3/11 เป็นกองทุนตราสารหนี้ที่มีแผนลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐระยะสั้น เช่น พันธบัตรรัฐบาล เป็นต้น โดยคาดว่าจะให้ผลตอบแทนประมาณร้อยละ 2.15 ต่อปี มีอายุการลงทุนประมาณ 12 เดือน ลงทุนขั้นต่ำ 10,000 บาทเปิดขายครั้งเดียวระหว่างวันที่ 18-24 มกราคม พ.ศ. 2554 และเมื่อกองทุนนี้ครบอายุนักลงทุนจะได้รับเงินลงทุนและผลตอบแทนโดยวิธีการรับซื้อคืนอัตโนมัติ ที่สำคัญสำหรับนักลงทุนประเภทบุคคลผลตอบแทนของกองทุนนี้ได้รับการยกเว้นการเสียภาษี
ด้านรายงานข่าวจาก บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการเปิดเสนอขายกองทุนตราสารหนี้จำนวน 3 กองทุน ในระหว่างวันที่ 18 - 24 ม.ค. 2554 ซึ่งประกอบด้วย กองทุนเปิดไทยพาณิชย์พันธบัตรรัฐบาล 4M5 (SCBGB4M5) ซึ่งเป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในตั๋วเงินคลัง และเงินฝากประจำ กองทุนมีอายุโครงการประมาณ 4 เดือน มีขนาดโครงการ 4,000 ล้านบาท คาดการณ์ผลตอบแทนประมาณ 1.80%
กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ตราสารหนี้ 6M4 (SCBFI6M4) ซึ่งเป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทยและตั๋วแลกเงิน ธนาคารกรุงไทย /ธนาคารกรุงศรีอยุธยา /ธนาคารทิสโก้ กองทุนมีอายุโครงการประมาณ 6 เดือน มีขนาดโครงการ 4,000 ล้านบาท คาดการณ์ผลตอบแทนประมาณ 2.00% และกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ตราสารหนี้ 1Y1 (SCBFI1Y1) ซึ่งเป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล และเงินฝากต่างประเทศ (ธนาคารบาร์เคลย์ สาธารณรัฐอาหรับเอมิเรสต์) กองทุนมีอายุโครง การประมาณ 1 ปี มีขนาดโครงการ 1,000 ล้านบาท คาดการณ์ผลตอบแทนประมาณ 2.20%
ในขณะที่บลจ.อยุธยา เปิดโอกาสให้เงินออมเพิ่มค่ามากขึ้นด้วยการลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพดีกับ กองทุนเปิดกรุงศรีไทยโน้ท 3M8 กองทุนตราสารหนี้อายุ 3 เดือนมูลค่าโครงการ 500 ล้านบาท โดยจะเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรกระหว่างวันที่ 18 - 24 ม.ค. 2554 ทั้งนี้ สินทรัพย์ที่กองทุนเปิดกรุงศรีไทยโน้ท 3M8 จะเข้าไปลงทุน ประกอบด้วย ตราสารหนี้ภาครัฐไทย ตั๋วแลกเงินออกโดยธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ตั๋วแลกเงินออกโดยธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) หุ้นกู้ระยะสั้นออกโดยธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด (ไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ หุ้นกู้ระยะสั้นออกโดยธนาคารดอยซ์แบงก์ โดยคาดการณ์ผลตอบแทนจากการลงทุนประมาณ โดยการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ 1.80% โดยเฉลี่ยต่อปีของเงินลงทุนเริ่มแรก