ก็คงจะเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา (22-23 มีนาคม) การชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงเพื่อกดดันให้รัฐบาลยุบสภานั้น ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนแต่อย่างใด เม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติยังคงไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเอเชีย รวมถึงตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในระยะสั้นๆ อาจจะมีการเทขายทำกำไรออกมาบ้าง รวมถึงการรอดูสถานการณ์ เพื่อรอให้มีความชัดเจนมากขึ้น ก่อนตัดสินใจเข้าไปลงทุนอีกครั้ง
สำหรับเม็ดเงินที่ไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่องในแต่ละวันนั้น ทำให้ตลาดหุ้นไทยในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาค่อนข้างที่จะผันผวน ขึ้นๆลงๆ โดยเปิดตลาดวันแรกของสัปดาห์นั้น (22 มี.ค.) แม้ว่าหุ้นไทยจะลง แต่กลับพบว่ามีมูลค่าการซื้อขายสูงสุดในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา ถึง 42,076.02 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน ในรอบสัปดาห์ ดัชนีได้ปรับตัวสูงสุด เมื่อช่วงกลางของสัปดาห์(24 มี.ค.)ที่ระดับ 786.54 จุด ก่อนที่จะปรับตัวลดลงมาอย่างต่อเนื่อง โดยปิดตลาดวันสุดท้ายของสัปดาห์(26 มี.ค.) พบว่าดัชนีได้ปรับตัวลงมาอยู่ที่ 778.86 จุด ลดลง 5.52 จุด เปลี่ยนแปลง -0.70% มีมูลค่าการซื้อขายที่ 21,474.91 ล้านบาท
สำหรับสัปดาห์นี้ ตลาดหุ้นจะมีแนวโน้มเป็นอย่างไร เม็ดเงินจะยังคงไหลเข้ามาตลาดหุ้นไทยอีกหรือไม่ และมีปัจจัยได้บ้างที่เป็นปัจจัยบวกหรือ ปัจจัยลบต่อการลงทุนในตลาดหุ้นบ้าง ผู้จัดการกองทุนมีมุมมองต่อการลงทุนในขณะนี้.....
ฉัตรพี ตันติเฉลิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อยุธยา จำกัด บอกว่า ขณะนี้ตลาดหุ้นมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง จากเม็ดเงินไหลเข้าของนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียรวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วย รวมไปถึงผลตอบแทนที่ได้รับนั้นสูงกว่าการลงทุนในยุโรปและอเมริกา
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวขึ้นไปจนมูลค่าหุ้นเหมาะสมกับมูลค่าพื้นฐาน และใกล้เคียงกับจุดสูงสุดเดิม โดยเรามองว่าบริษัทต่างๆยังสามารถที่จะขยายตัวได้อีก และยังสามารถเติบโตต่อไปได้อีก ขณะเดียวกัน อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้ดีกว่าในปีที่ผ่านมา ทำให้ผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุนในเอเชียนั้นสูงกว่า การลงทุนในยุโรปและอเมริกา จึงทำให้มีเม็ดเงินไหลเข้าตลาดเอเชียอย่างต่อเนื่อง
การลงทุนของกองทุนนั้น อยากแนะนำให้นักลงทุนมองการลงทุนและผลตอบแทนในระยะยาว เพราะกองทุนมากส่วนมากเน้นการลงทุนระยะยาวมากกว่าการลงทุนในระยะสั้น โดยอยากแนะนำนักลงทุนว่า อย่าเลือกลงทุนในสินทรัพย์เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง ให้กระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ต่างๆ เพื่อกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนไปในตัว ซึ่งก่อนเข้าไปลงทุนนักลงทุนควรที่จะศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนการตัดสินใจ พร้อมทั้งอยากให้นักลงทุนมีการวางเป้าหมายการลงทุนที่ชัดเจน และรู้ว่าตนเองนั้นต้องการการลงทุนเเบบไหน เพื่อที่จะได้เข้าไปลงทุนได้อย่างตรงตามเป้าหมาย
สำหรับเม็ดเงินที่ไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่องในแต่ละวันนั้น ทำให้ตลาดหุ้นไทยในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาค่อนข้างที่จะผันผวน ขึ้นๆลงๆ โดยเปิดตลาดวันแรกของสัปดาห์นั้น (22 มี.ค.) แม้ว่าหุ้นไทยจะลง แต่กลับพบว่ามีมูลค่าการซื้อขายสูงสุดในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา ถึง 42,076.02 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน ในรอบสัปดาห์ ดัชนีได้ปรับตัวสูงสุด เมื่อช่วงกลางของสัปดาห์(24 มี.ค.)ที่ระดับ 786.54 จุด ก่อนที่จะปรับตัวลดลงมาอย่างต่อเนื่อง โดยปิดตลาดวันสุดท้ายของสัปดาห์(26 มี.ค.) พบว่าดัชนีได้ปรับตัวลงมาอยู่ที่ 778.86 จุด ลดลง 5.52 จุด เปลี่ยนแปลง -0.70% มีมูลค่าการซื้อขายที่ 21,474.91 ล้านบาท
สำหรับสัปดาห์นี้ ตลาดหุ้นจะมีแนวโน้มเป็นอย่างไร เม็ดเงินจะยังคงไหลเข้ามาตลาดหุ้นไทยอีกหรือไม่ และมีปัจจัยได้บ้างที่เป็นปัจจัยบวกหรือ ปัจจัยลบต่อการลงทุนในตลาดหุ้นบ้าง ผู้จัดการกองทุนมีมุมมองต่อการลงทุนในขณะนี้.....
ฉัตรพี ตันติเฉลิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อยุธยา จำกัด บอกว่า ขณะนี้ตลาดหุ้นมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง จากเม็ดเงินไหลเข้าของนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียรวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วย รวมไปถึงผลตอบแทนที่ได้รับนั้นสูงกว่าการลงทุนในยุโรปและอเมริกา
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวขึ้นไปจนมูลค่าหุ้นเหมาะสมกับมูลค่าพื้นฐาน และใกล้เคียงกับจุดสูงสุดเดิม โดยเรามองว่าบริษัทต่างๆยังสามารถที่จะขยายตัวได้อีก และยังสามารถเติบโตต่อไปได้อีก ขณะเดียวกัน อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้ดีกว่าในปีที่ผ่านมา ทำให้ผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุนในเอเชียนั้นสูงกว่า การลงทุนในยุโรปและอเมริกา จึงทำให้มีเม็ดเงินไหลเข้าตลาดเอเชียอย่างต่อเนื่อง
การลงทุนของกองทุนนั้น อยากแนะนำให้นักลงทุนมองการลงทุนและผลตอบแทนในระยะยาว เพราะกองทุนมากส่วนมากเน้นการลงทุนระยะยาวมากกว่าการลงทุนในระยะสั้น โดยอยากแนะนำนักลงทุนว่า อย่าเลือกลงทุนในสินทรัพย์เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง ให้กระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ต่างๆ เพื่อกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนไปในตัว ซึ่งก่อนเข้าไปลงทุนนักลงทุนควรที่จะศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนการตัดสินใจ พร้อมทั้งอยากให้นักลงทุนมีการวางเป้าหมายการลงทุนที่ชัดเจน และรู้ว่าตนเองนั้นต้องการการลงทุนเเบบไหน เพื่อที่จะได้เข้าไปลงทุนได้อย่างตรงตามเป้าหมาย