สำหรับภาวะตลาดหุ้นไทยในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (8-12 ก.พ.) พบว่าเปิดตลาดมาวันแรกของสัปดาห์ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปิดตัวอยู่ในแดนลบต่อเนื่องมาจากสัปดาห์ก่อนหน้า โดยการปรับตัวลดลงของดัชนีในช่วงนี้มาจากหลายๆปัจจัยด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยภายนอกประเทศจากปัญหาในยุโรป ที่มีข่าวออกมาให้นักลงทุนได้ลุ้นกันอย่างต่อเนื่อง
และนอกจากปัจจัยภายนอกประเทศแล้วปัจจัยภายในประเทศที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ หากไม่กล่าวถึงคงไม่ได้แล้วเพราะปัจจัยทางการเมืองที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อความมั่นใจของนักลงทุนเป็นอย่างมาก ทำให้ปริมาณการซื้อขายตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมานั้นค่อนข้างที่จะเบาบาง โดยเป็นการซื้อขายของนักลงทุนภายในประเทศส่วนใหญ่
โดยในช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีสามารถที่จะปรับตัวขึ้นมายืนในแดนบวกได้ แต่ก็ไม่สามารถที่จะปิดตลาดทะลุ 700 จุดได้สักวัน โดยปิดตลาดวันสุดท้ายของสัปดาห์นั้น พบว่าดัชนีได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาปิดที่ระดับ 698.03 จุด เปลี่ยนเเปลง +2.62 จุด(+0.38%) มีมูลค่าการซื้อขาย 12,396.95 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม สำหรับสัปดาห์นี้ดัชนีตลาดหุ้นจะเป็นอย่างไรบ้าง มีปัจจัยบวก - ปัจจัยลบอะไรบ้างที่นักลงทุนอย่างเราๆควรติดตาม อีกทั้งเราจะลงทุนแบบไหน ลงทุนในสินทรัพย์อะไรจึงจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้นักลงทุนได้ ลองมาติดตามมุมมองความคิดเห็นของผู้จัดการกองทุนรวมกันได้เลย....
ต่อ อินทวิวัฒน์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายธุรกิจกองทุนรวมและที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด บอกว่า สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยระยะนี้มีการปรับตัวลดลงมากค่อนข้างเยอะ จากปัจจัยการเมืองที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ ซึ่งถือเป็นปัจจัยหลักในการชี้นำตลาดไทยในอีก 1- 2 เดือนข้างหน้านี้
ภาพรวมตลาดหุ้นไทย นักลงทุนควรที่จะติดตามสถานการณ์ความชัดเจนของเหตุการณ์เหล่านี้ด้วย โดยอยากให้นักลงทุนทั้งหลายระวังในเรื่องของข่าวลือที่จะเกิดขึ้นก่อนหรือหลังวันที่26ก.พ. เพราะข่าวลือที่จะเกิดขึ้นนั้น มองว่าทีผลต่อการขึ้นลงของดัชนีประมาณ 5-10% ซึ่งหากมีข่าวลือในด้านดีออกมา การลงทุนในตลาดหุ้นยังถือว่าปีนี้น่าสนใจ อาทิ หุ้นปันผล หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ จำพวกแบงก์และพลังงาน"ต่อ บอก
สำหรับนักลงทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้นไทยนั้น หากมีหุ้นอยู่ในพอร์ตก็ให้ถือต่อ อย่าเพิ่งรีบขาย โดยแนะให้เข้าซื้อสะสมมากกว่า และรอดูสถานการณ์หลังวันที่ 26 ก.พ. หลังจากที่มีการตัดสินคดียึดทรัพย์ของอดีตนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ว่าตลาดหุ้นจะมีการเคลื่อนไหวเป็นอย่างไร
ทั้งนี้ หากไม่มีปัจจัยโลกเข้ามากดตลาดหุ้นไทย จะได้เปรียบตลาดหุ้นอื่นๆในเรื่องของเงินปันผลและพี/อีที่ต่ำกว่าประเทศอื่น ซึ่งทุกวันนี้ตลาดหุ้นบ้านเราก็มีนักลงทุนรายย่อยเข้ามาซื้อขายเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ตลาดมีการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ในเรื่องของเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาตินั้น มองว่าจะไหลเข้าไปลงทุนยังประเทศที่มีการเติบโตที่ดี ซึ่งได้แก่ตลาดหุ้นของกลุ่มประเทศเกิดใหม่ แต่ก็ไม่มากเหมือนเช่นที่ผ่านมา โดยเม็ดเงินเหล่านี้จะกระจายการลงทุนไปทั่วโลก
**"ต่อ"บอกอีกว่า "การลงทุนในกองทุนหุ้นนั้น ถือเป็นทางเลือกที่ดีเนื่องจากว่ากองทุนนั้น ได้กระจายการลงทุนหุ้น ในตลาดประมาณ 6-12 ตัว โดยนักลงทุนที่เข้ามาลงทุนในกองทุนนั้น อยากให้นักลงทุนพร้อมที่จะถือหน่วยลงทุนได้ไปจนถึงสิ้นปี เนื่องจากตลาดหุ้นไทยมีฐานการลงทุนที่เเข็ง แต่ทั้งนี้จะต้องไม่มีสถานการณ์ใหม่เข้ามากระทบด้วย"
และนอกจากปัจจัยภายนอกประเทศแล้วปัจจัยภายในประเทศที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ หากไม่กล่าวถึงคงไม่ได้แล้วเพราะปัจจัยทางการเมืองที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อความมั่นใจของนักลงทุนเป็นอย่างมาก ทำให้ปริมาณการซื้อขายตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมานั้นค่อนข้างที่จะเบาบาง โดยเป็นการซื้อขายของนักลงทุนภายในประเทศส่วนใหญ่
โดยในช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีสามารถที่จะปรับตัวขึ้นมายืนในแดนบวกได้ แต่ก็ไม่สามารถที่จะปิดตลาดทะลุ 700 จุดได้สักวัน โดยปิดตลาดวันสุดท้ายของสัปดาห์นั้น พบว่าดัชนีได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาปิดที่ระดับ 698.03 จุด เปลี่ยนเเปลง +2.62 จุด(+0.38%) มีมูลค่าการซื้อขาย 12,396.95 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม สำหรับสัปดาห์นี้ดัชนีตลาดหุ้นจะเป็นอย่างไรบ้าง มีปัจจัยบวก - ปัจจัยลบอะไรบ้างที่นักลงทุนอย่างเราๆควรติดตาม อีกทั้งเราจะลงทุนแบบไหน ลงทุนในสินทรัพย์อะไรจึงจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้นักลงทุนได้ ลองมาติดตามมุมมองความคิดเห็นของผู้จัดการกองทุนรวมกันได้เลย....
ต่อ อินทวิวัฒน์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายธุรกิจกองทุนรวมและที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด บอกว่า สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยระยะนี้มีการปรับตัวลดลงมากค่อนข้างเยอะ จากปัจจัยการเมืองที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ ซึ่งถือเป็นปัจจัยหลักในการชี้นำตลาดไทยในอีก 1- 2 เดือนข้างหน้านี้
ภาพรวมตลาดหุ้นไทย นักลงทุนควรที่จะติดตามสถานการณ์ความชัดเจนของเหตุการณ์เหล่านี้ด้วย โดยอยากให้นักลงทุนทั้งหลายระวังในเรื่องของข่าวลือที่จะเกิดขึ้นก่อนหรือหลังวันที่26ก.พ. เพราะข่าวลือที่จะเกิดขึ้นนั้น มองว่าทีผลต่อการขึ้นลงของดัชนีประมาณ 5-10% ซึ่งหากมีข่าวลือในด้านดีออกมา การลงทุนในตลาดหุ้นยังถือว่าปีนี้น่าสนใจ อาทิ หุ้นปันผล หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ จำพวกแบงก์และพลังงาน"ต่อ บอก
สำหรับนักลงทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้นไทยนั้น หากมีหุ้นอยู่ในพอร์ตก็ให้ถือต่อ อย่าเพิ่งรีบขาย โดยแนะให้เข้าซื้อสะสมมากกว่า และรอดูสถานการณ์หลังวันที่ 26 ก.พ. หลังจากที่มีการตัดสินคดียึดทรัพย์ของอดีตนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ว่าตลาดหุ้นจะมีการเคลื่อนไหวเป็นอย่างไร
ทั้งนี้ หากไม่มีปัจจัยโลกเข้ามากดตลาดหุ้นไทย จะได้เปรียบตลาดหุ้นอื่นๆในเรื่องของเงินปันผลและพี/อีที่ต่ำกว่าประเทศอื่น ซึ่งทุกวันนี้ตลาดหุ้นบ้านเราก็มีนักลงทุนรายย่อยเข้ามาซื้อขายเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ตลาดมีการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ในเรื่องของเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาตินั้น มองว่าจะไหลเข้าไปลงทุนยังประเทศที่มีการเติบโตที่ดี ซึ่งได้แก่ตลาดหุ้นของกลุ่มประเทศเกิดใหม่ แต่ก็ไม่มากเหมือนเช่นที่ผ่านมา โดยเม็ดเงินเหล่านี้จะกระจายการลงทุนไปทั่วโลก
**"ต่อ"บอกอีกว่า "การลงทุนในกองทุนหุ้นนั้น ถือเป็นทางเลือกที่ดีเนื่องจากว่ากองทุนนั้น ได้กระจายการลงทุนหุ้น ในตลาดประมาณ 6-12 ตัว โดยนักลงทุนที่เข้ามาลงทุนในกองทุนนั้น อยากให้นักลงทุนพร้อมที่จะถือหน่วยลงทุนได้ไปจนถึงสิ้นปี เนื่องจากตลาดหุ้นไทยมีฐานการลงทุนที่เเข็ง แต่ทั้งนี้จะต้องไม่มีสถานการณ์ใหม่เข้ามากระทบด้วย"