บลจ.วรรณ มองตลาดหุ้นไทยปีนี้ผันผวนสูง จากปัจจัยทางการเมืองเป็นหลัก แม้ตัวเลขเศรษฐกิจจะปรับดีขึ้น เผยการลงทุนเน้นกลยุทธ์ Bottom Up สร้างผลตอบแทนในหุ้นรายตัว เปิดมุมมองผู้จัดการทั่วโลก คาดการณ์อัตราดอกเบี้ยจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก 12 เดือนข้างหน้า
นางสาวสหัทยา สรรค์ประสิทธิ์ ผู้จัดการกองทุนอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) วรรณ จำกัด เปิดเผยว่า จากการประเมินตัวเลขเศรษฐกิจในปี2553 คาดว่าเศรษฐกิจจะปรับตัวดีขึ้น โดยจะสามารถขยายตัวได้ประมาณ 3.0-4.0% ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจในปีที่ผ่านมา คาดว่าจะมีการหดตัวประมาณ 3.0-3.5% ขณะเดียวกัน แม้จะเห็นตัวเลขเศรษฐกิจดีๆมีประกาศออกมา
แต่ไม่ใช่ว่านักลงทุนจะลงทุนหุ้นได้อย่างง่าย ๆ เพราะการลงทุนในตลาดหุ้นปีนี้จะมีความผันผวนสูง เนื่องจากปัจจัยทางการเมืองที่จะกดดันตลาดอยู่อย่างต่อเนื่อง ทำให้การลงทุนในปีนี้ไม่เหมือนกับปีที่ผ่านมา ที่นักลงทุนสามารถเล่นตามดัชนีไปได้เรื่อย ๆ แต่ลักษณะการลงทุนจะต้องอาศัยข้อมูลเชิงลึกเพื่อที่จะหาหุ้นรายตัวมาอยู่ในพอร์ตมากกว่าจะลงทุนในหุ้นแบบตามดัชนี
ในส่วนของ บลจ.วรรณ ยังมีมุมมองเชิงบวกกับตลาดหุ้น โดยประเมินว่า ตลาดหุ้นไทยยังถูกอยู่เมื่อเทียบกับตลาดต่างประเทศ ซึ่งจากตลาดหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นทำให้ทั้ง PE และ PBV ปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วย แต่เนื่องจากความกังวลทางด้านการเมืองเป็นหลัก
ทำให้ไทยมี PE และ PBV ที่ต่ำกว่าประเทศในแถบประเทศเอเซียด้วยกัน ดังนั้นการลงทุนในตลาดหุ้นปีนี้อาจจะไม่ได้ผลตอบแทนมากเหมือนกับปี 2551 จึงส่งผลให้การบริหารกองทุนจะต้องใช้วิธี Bottom Up มากขึ้น
"กลยุทธ์ที่นักลงทุนควรจะมาปรับใช้ในปีนี้ คือการทำ Bottom Up ในพอร์ตของตัวเอง ซึ่งการทำ Bottom Up นั้นเป็นการบริหารจัดการกองทุนในรูปแบบที่เน้นหาหุ้นที่มีความสามารถในการทำกำไรสูงมากกว่าจะมองภาพรวมเศรษฐกิจ หรือภาพรวมรายอุตสาหกรรม" นางสาวสหัทยา กล่าว
นางสาวทิวารัตน์ เตชะมีเกียรติชัย กรรมการผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บลจ.วรรณ กล่าวอีกว่า ผู้จัดการกองทุนทั่วโลกส่วนใหญ่ คาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะปรับเพิ่มขึ้นใน 12 เดือนข้างหน้า เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐนั้น ยังคงเป็นห่วงในเรื่องของปัญหาการว่างงาน
โดยเชื่อว่าประเด็นดังกล่าวจะมีผลต่อการตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา(เฟด) ซึ่งเมื่อไหร่ก็ตามที่เห็นอัตราการว่างานแตะจุดสูงสุดแล้ว เฟดจะรออีกประมาณ 2-3 เดือน ถึงจะมีการเปลี่ยนแปลงดอกเบี้ยอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นดอกเบี้ยไม่ได้เป็นข่าวร้ายสำหรับตลาดหุ้นเสมอไป เพราะจากการเก็บข้อมูลย้อนหลังตั้งแต่ปี 1990 จนถึงปี 2009 พบว่าการปรับตัวขึ้นของ Fed Fund Rate มีรอบใหญ่ ๆ อยู่ด้วยกันสามช่วง
แต่ก็ไม่ได้มีผลให้ดัชนี Dow Jone ร่วงลงแต่อย่างใด ทั้งนี้บริษัทยังเก็บข้อมูลความสัมพันธ์ระหว่าง Fed Fund Rate และ SET Indexรวมไปถึง RP 1 วันกับ SET Index พบว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยไม่มีผลต่อดัชนีตลาดหลักทรัพย์ว่าจะต้องปรับตัวลงเท่าใดนัก
นางสาวสหัทยา สรรค์ประสิทธิ์ ผู้จัดการกองทุนอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) วรรณ จำกัด เปิดเผยว่า จากการประเมินตัวเลขเศรษฐกิจในปี2553 คาดว่าเศรษฐกิจจะปรับตัวดีขึ้น โดยจะสามารถขยายตัวได้ประมาณ 3.0-4.0% ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจในปีที่ผ่านมา คาดว่าจะมีการหดตัวประมาณ 3.0-3.5% ขณะเดียวกัน แม้จะเห็นตัวเลขเศรษฐกิจดีๆมีประกาศออกมา
แต่ไม่ใช่ว่านักลงทุนจะลงทุนหุ้นได้อย่างง่าย ๆ เพราะการลงทุนในตลาดหุ้นปีนี้จะมีความผันผวนสูง เนื่องจากปัจจัยทางการเมืองที่จะกดดันตลาดอยู่อย่างต่อเนื่อง ทำให้การลงทุนในปีนี้ไม่เหมือนกับปีที่ผ่านมา ที่นักลงทุนสามารถเล่นตามดัชนีไปได้เรื่อย ๆ แต่ลักษณะการลงทุนจะต้องอาศัยข้อมูลเชิงลึกเพื่อที่จะหาหุ้นรายตัวมาอยู่ในพอร์ตมากกว่าจะลงทุนในหุ้นแบบตามดัชนี
ในส่วนของ บลจ.วรรณ ยังมีมุมมองเชิงบวกกับตลาดหุ้น โดยประเมินว่า ตลาดหุ้นไทยยังถูกอยู่เมื่อเทียบกับตลาดต่างประเทศ ซึ่งจากตลาดหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นทำให้ทั้ง PE และ PBV ปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วย แต่เนื่องจากความกังวลทางด้านการเมืองเป็นหลัก
ทำให้ไทยมี PE และ PBV ที่ต่ำกว่าประเทศในแถบประเทศเอเซียด้วยกัน ดังนั้นการลงทุนในตลาดหุ้นปีนี้อาจจะไม่ได้ผลตอบแทนมากเหมือนกับปี 2551 จึงส่งผลให้การบริหารกองทุนจะต้องใช้วิธี Bottom Up มากขึ้น
"กลยุทธ์ที่นักลงทุนควรจะมาปรับใช้ในปีนี้ คือการทำ Bottom Up ในพอร์ตของตัวเอง ซึ่งการทำ Bottom Up นั้นเป็นการบริหารจัดการกองทุนในรูปแบบที่เน้นหาหุ้นที่มีความสามารถในการทำกำไรสูงมากกว่าจะมองภาพรวมเศรษฐกิจ หรือภาพรวมรายอุตสาหกรรม" นางสาวสหัทยา กล่าว
นางสาวทิวารัตน์ เตชะมีเกียรติชัย กรรมการผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บลจ.วรรณ กล่าวอีกว่า ผู้จัดการกองทุนทั่วโลกส่วนใหญ่ คาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะปรับเพิ่มขึ้นใน 12 เดือนข้างหน้า เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐนั้น ยังคงเป็นห่วงในเรื่องของปัญหาการว่างงาน
โดยเชื่อว่าประเด็นดังกล่าวจะมีผลต่อการตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา(เฟด) ซึ่งเมื่อไหร่ก็ตามที่เห็นอัตราการว่างานแตะจุดสูงสุดแล้ว เฟดจะรออีกประมาณ 2-3 เดือน ถึงจะมีการเปลี่ยนแปลงดอกเบี้ยอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นดอกเบี้ยไม่ได้เป็นข่าวร้ายสำหรับตลาดหุ้นเสมอไป เพราะจากการเก็บข้อมูลย้อนหลังตั้งแต่ปี 1990 จนถึงปี 2009 พบว่าการปรับตัวขึ้นของ Fed Fund Rate มีรอบใหญ่ ๆ อยู่ด้วยกันสามช่วง
แต่ก็ไม่ได้มีผลให้ดัชนี Dow Jone ร่วงลงแต่อย่างใด ทั้งนี้บริษัทยังเก็บข้อมูลความสัมพันธ์ระหว่าง Fed Fund Rate และ SET Indexรวมไปถึง RP 1 วันกับ SET Index พบว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยไม่มีผลต่อดัชนีตลาดหลักทรัพย์ว่าจะต้องปรับตัวลงเท่าใดนัก