2 ค่ายใหญ่ "บัวหลวง-กรุงไทย" ประเมินครึ่งปีหลัง ดอกเบี้ยเตรียมขยับ 0.75-1% กดเงินเฟ้อ หลังเศรษฐกิจไทยเริ่มดีขึ้น จากเเรงหนุนภาครัฐ เเละ เศรษฐกิจโลก คาดเงินเฟ้อทั้งปีอยู่ที่ 2.8%
นางวรวรรณ ธาราภูมิ กรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) บัวหลวง จำกัด เปิดเผยว่า สำหรับอัตราดอกเบี้ย มีแนวโน้มว่าธนาคารกลางประเทศต่างๆ รวมถึงประเทศไทยน่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในกลางปี หรือ ในไตรมาส 3 ปีนี้ ซึ่งอาจจะทำให้เงินย้ายจากตลาดที่มีสินทรัพย์ในความเสี่ยง (Risky Asset) เช่นหุ้น ไปยังตลาดเงินและพันธบัตรซึ่งเสี่ยงน้อยกว่าแต่ได้ผลตอบแทนมากขึ้นก็ได้
โดยอัตราดอกเบี้ยในประเทศไทย ก็อาจจะสูงขึ้นได้ด้วยปริมาณการออกพันธบัตรต่าง ๆ ที่รัฐต้องระดมกู้จากภาคประชาชนเพื่อนำไปค้ำจุนโครงการต่าง ๆ ตามนโยบายผลักดันเศรษฐกิจของภาครัฐ และการที่ธนาคารพาณิชย์เริ่มปล่อยสินเชื่อมากขึ้นเพราะมองว่าเศรษฐกิจกำลังเริ่มเดินหน้า จึงน่าจะต้องการเงินฝากมากขึ้น
ทั้งนี้ เมื่อมีการแข่งขันกันระดมเงินจากประชาชนทั้งภาครัฐ สถาบันการเงินของรัฐ และธนาคารพาณิชย์ทั่วไปที่ต้องการเงินไปปล่อยสินเชื่อแล้ว อัตราดอกเบี้ยจึงน่าจะสูงขึ้นเพื่อจูงใจให้คนมาฝากเงินหรือมาซื้อพันธบัตร ดังนั้นการลงทุนในตราสารหนี้จึงควรจะลงทุนในระยะสั้นๆ ไว้ก่อน ไม่ควรล็อคเงินยาวไป
นางวรวรรณ กล่าวอีกว่า โดยในปีนี้บริษัทจะร่วมมือกับตัวแทนขายให้มีความใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น รวมถึงจะต้องให้ความรู้ความเข้าใจในด้านการลงทุนกับนักลงทุนมากยิ่งขึ้น เนื่องจากว่าบริษัทเองจะเปิดกองทุนใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น เพื่อให้ครบวงจรในด้านของการลงทุน
เรามองว่าในปีนี้มองว่าภาวะเศรษฐกิจโลกคลี่คลายขึ้นแล้วจากอาการโคม่าในปี 2551 ที่ผ่านมา และเศรษฐกิจไทยกำลังดีขึ้นจากการผลักดันโครงการต่างๆ ของภาครัฐ โอกาสในการลงทุนจึงยังมีอยู่ เพียงแต่ต้องจับตาดูความเสี่ยงจากปัจจัยต่างๆ ไปด้วย โดยเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มว่าจะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2551 ถึง 2552 ดังนั้นในปีนี้จะเริ่มมีอัตราการเติบโตเป็นบวกต่อเนื่อง
ทั้งนี้โดยในส่วนของตลาดหุ้นของปีที่ผ่านมา หุ้นขึ้นจากกระแสเงินไหลเข้าโดยเฉพาะในภูมิภาคนี้ เพราะจีนมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ยังดีอยู่ จีนจึงเป็นเป็นแม่เหล็กใหญ่ที่ดึงดูดเม็ดเงินที่ถอนออกจากตลาดทุนในฝั่งตะวันตกให้เข้าไปลงทุนในจีนและเอเชีย ดังนั้น หุ้นไทยก็ได้รับอานิสงส์จากกระแสเม็ดเงินไหลเข้าด้วย ทำให้ SET Index ขึ้นไปเกือบ 60%
อย่างไรก็ตาม หากไม่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น ตลาดหุ้นไทยในปี 2553 เทียบกับปี 2552 อาจมีโอกาสขึ้นได้ประมาณ 10 - 15% ไม่หวือหวาเท่าปี 2552 และตลาดหุ้นจะมีความผันผวนขึ้น ๆ ลง ๆ ไปตลอดปี การลงทุนจึงต้องคัดเลือกหุ้นรายตัว เพราะรายได้ (Earning) แม้อาจจะยังไปได้อีกบ้าง แต่ต้องดูว่าสะท้อนไปแล้วในราคาหรือยัง
ทางด้านนายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บลจ. กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปีที่ผ่านมา หดตัวถึง 3.25% ซึ่งคาดว่าในปี 2553 นี้หน้าจะขยายตัวขึ้นประมาณ 3.9% จากเเรงกระตุ้นของนโยบายภาครัฐ เเละการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ตามการลงทุนในภาคเอกชนน่าจะยังมีน้อยอยู่ จากกรณีระงับกิจกรรมในโครงการ 65 แห่งจากเดิม 76 แห่งที่ถูกสั่งระงับกิจกรรมในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด
สำหรับอัตราเงินเฟ้อนั้นเร่งตัวขึ้นตามการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเงินเฟ้อทั่วไปที่จะสูงเป็นพิเศษ เนื่องจากฐานราคาสินค้าพลังงานที่ตกต่ำในปีก่อน ซึ่งเงินเฟ้อพื้นฐานยังอยู่ในระดับที่ต่ำ
ทั้งนี้ธนาคารเเห่งประเทศไทย (ธปท.)ยังคงเห็นว่าเงินเฟ้อยังไม่ออกนอกเป้าหมายที่กำหนดไว้เเละยังไม่สร้างความกดันมากนักสอดคล้องกับการตัดสินใจของ คณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. ในอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.25% ตามเดิมในการประชุมครั้งล่าสุดเเละ กนง.จะมีการประชุมครั้งต่อไปในวันที่ 13 มกราคม 2553 นี้ซึ่งคาดว่าน่าจะคงดอกเบี้ยที่ระดับเดิมอยู่
นายสมชัย กล่าวอีกว่า เรามองว่า กนง. น่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งปีหลังนี้ โดยจะปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 0.75-1% เนื่องจากเรามองว่าเงินเฟ้อจะทยอยปรับขึ้น ซึ่งอาจจะสูงกว่าดอกเบี้ยนโยบาย ทำให้ต้องมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ย อย่างไรก็ตามเชื่อว่าอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยตลอดปี 2553 จะอยู่ที่ 2.8%
ขณะที่ค่าเงินบาทนั้น มีเเนวโน้มอ่อนตัวลงต่อเนื่องในปี 2553 นี้ เเต่จะเริ่มวกกลับในช่วงหลังของปี เนื่องจากจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ น่าจะเเข็งค่าขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งมีโอกาสค่อนข้างสูงที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยจะส่งผลให้ค่าเงินบาทน่าจะอ่อนตัวต่อเนื่องซึ่งส่งผลดีต่อภาคการส่งออกของไทย