หุ้นไทยกังวลปัญหาการเมือง ดัชนีหลุดระดับ 700 จุด เรียบร้อยแล้ว "ภัทรียา" เผยหุ้นไทยปรับฐาน หลังปรับขึ้นต่อเนื่อง 2 เดือน ชี้ชัด การเมืองเป็นตัวแปรหลัก วอนหางแดง-พรรคร่วมนึกถึงบ้านเมือง ส่วนปัจจัยภายนอกยังห่วงนโยบายการเงินคุมฟองสบู่ของจีน
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า การลงทุนในตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อน ยังคงมาจากปัจจัยเดิมๆ คือ กรณีที่รัฐบาลจีนได้ออกมาตรการคุมเข้มการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน ทำให้นักลงทุนเกิดความกังวลต่อเศรษฐกิจของจีน และส่งผลต่อตลาดหุ้นภูมิภาคและทั่วโลกปรับลดลง
ส่วนตลาดหุ้นไทยนับตั้งแต่ช่วงต้นเดือนธันวาคม 2552 ถึงกลางเดือนมกราคม 2553 ได้ปรับตัวขึ้นไปแล้วถึง 8.2% ดังนั้น ช่วงนี้ตลาดหุ้นไทยจึงต้องมีการปรับพักฐานบ้าง
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าไทยยังมีปัญหาการเมืองในประเทศ หลังจากวานนี้ มีการพิจารณาเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งส่งผลทำให้ตลาดหุ้นลดลง จึงมองว่าการเมืองยังมีผลต่อตลาดหุ้นต่อเนื่อง
ผู้จัดการ ตลท. กล่าวแนะนำว่า ตนเองขอให้นักลงทุนมีสติ ดูแลการลงทุนอย่างใกล้ชิด ซึ่งช่วงที่ตลาดผันผวนให้เลือกลงทุนในหุ้นปันผลจะป้องกันความเสี่ยงการลงทุนได้
"การเมืองเป็นตัวแปรหลัก อยากให้ทุกคนนึกถึงประเทศชาติเป็นอันดับแรก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการชุมนุม หรือการทำงานร่วมกันของรัฐบาล ซึ่งเอกชนก็อยากเห็นความมั่นคงของรัฐบาล และอยากให้นักลงทุนติดตามสถานการณ์การเมืองอย่างใกล้ชิด" นางภัทรียา กล่าวสรุป
สำหรับภาวะตลาดหุ้นไทยเช้านี้ ดัชนีหลุดแนวรับสำคัญที่ 700 จุด ไปเรียบร้อยแล้ว โดยมีปัจจัยกดดันการลงทุนทั้งในและนอกประเทศ นักวิเคราะห์ ชี้ นักลงทุนกังวลการเมืองไม่นิ่ง หลังจากที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) มีมติไม่ร่วมแก้ไขรัฐธรรมนูญ และจากการที่จีนออกมาตรการควบคุมสินเชื่อ ทำให้กังวลว่าสถาบันการเงินอาจมีปัญหา และกังวลว่าจะเกิดความรุนแรงก่อนการตัดสินยึดทรัพย์ ให้แนวรับใหม่ 698 จุดและอีก Step ให้แนวรับที่ 687-690 จุด
โดยเมื่อเวลา 12.02 น. ดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 698.54 จุด ลดลง 3.12 จุด หรือเปลี่ยนแปลง -0.44% มูลค่าการซื้อขาย 7,405.19 ล้านบาท
ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นไทยปิดตลาดช่วงเช้าที่ระดับ 698.28 จุด ลดลง 3.38 จุด หรือเปลี่ยนแปลง -0.48% มูลค่าการซื้อขาย 8,053.82ล้านบาท
ล่าสุด ดัชนีปิดตลาดภาคบ่ายที่ระดับ 690.46 จุด ลดลง 11.20 จุด หรือเปลี่ยนแปลง -1.60% มูลค่าการซื้อขาย 16,873.48 ล้านบาท
