ก.ล.ต.เลิกเกียร์ว่าง! เตรียมจับมือ ตลท.-โบรกฯ-บลจ. ติดตามสถานการณ์ตลาดหุ้นใกล้ชิด ก่อนวันตัดตัดสินคดียึดทรัพย์ 26 ก.พ.นี้ พร้อมปลอบนักลงทุน อย่ากังวลจนเกินไป ส่วนการขายหุ้นของต่างชาติ ถือเป็นการลดความเสี่ยง แต่ในระยะยาวก็อาจกลับมาได้
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการ คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวถึงสถานการณ์ตลาดหุ้นไทยช่วง 10 วันอันตราย ก่อนการตัดสินคดีฉ้อโกงของอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัว โดยระบุว่า ขณะนี้ ก.ล.ต.ได้ประสานความร่วมมือกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) บริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) ทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงบริษัทจัดการกองทุนรวม (บลจ.) เพื่อสอบถามข้อมูลและติดตามสถานการณ์ตลาดหุ้นไทยในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2553 อย่างใกล้ชิด แต่ก็ขอเตือนไปยังนักลงทุนว่า อย่าวิตกกังวลมากจนเกินไป
"คิดว่าช่วงเดือน ก.พ.นี้ เป็นช่วงที่เราต้องติดตามความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด ซึ่งเรามีทั้งแหล่งข่าวของเรา และแหล่งข่าวจากทางการต่างๆ ผมคิดว่าอย่าไปกังวลมากเกินไป เท่าที่พูดคุยกับนักลงทุนต่างชาติ ยังเห็นโอกาสที่จะเข้ามาลงทุน"
นายธีระชัย กล่าวอีกว่า แม้ในช่วงนี้นักลงทุนต่างชาติจะมีการทยอยขายหุ้นออก มองว่าอาจเป็นการลดความเสี่ยง และคิดว่าในระยะยาวนักลงทุนต่างประเทศสนใจ และมองหาจังหวะเข้ามาซื้อหุ้นไทยอยู่ ซึ่งหากมองทิศทางของประเทศในระยะยาว ยังอยู่ระดับดีที่มองผลตอบแทนในระยะ 1-2 ปี ซึ่งนักลงทุนต่างชาติจะมองหาจังหวะเข้ามาลงทุนที่เหมาะสม และคิดว่านักลงทุนมองเห็นเป็นจังหวะซื้อมากกว่า
นอกจากนี้ เลขาธิการ ก.ล.ต. ยังกล่าวถึงความเสี่ยงของเศรษฐกิจในภูมิภาค โดยระบุว่า ประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชีย ควรจะมีการปรับค่าเงินให้ยืดหยุ่นมากขึ้น และมีการปรับค่าแรงงาน เพื่อให้มีกำลังซื้อ เพราะประเทศในภูมิภาคนี้ ส่วนใหญ่เป็นประเทศผู้ส่งออก และหากมีการรวมตัวทางเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคจะทำให้ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจลดลง
"ผมมองว่า ที่ผ่านมาการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจหรือวิกฤตการเงิน เกิดจากเศรษฐกิจมหภาค และการไม่เข้มงวดในการกำกับดูแลสถาบันการเงิน และยังมองว่า มีโอกาสที่จะเกิดวิกฤตภาคสถาบันการเงินปะทุได้อีก จึงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะขณะนี้ ฟองสบู่เดิมก็ยังไม่คลายตัว เศรษฐกิจยังฟื้นตัวไม่เต็มที่" เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวสรุปทิ้งท้าย