ตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา (1-5 ก.พ.)ได้เกิดกระเเสข่าวต่างๆนาๆออกมาสั่นคลอนการลงทุนของนักลงทุนอยู่เป็นระยะโดยเฉพาะปัจจัยทางด้านการเมืองที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ แต่อย่างไรก็ตาม ดัชนียังสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้น มายืนเหนือ 700 จุดได้ถึง 2 วัน ถึงแม้ว่าจะเป็นการรีบาวด์ทางเทคนิคก็ตาม
โดยส่วนใหญ่ดัชนีหุ้นตลาดทั้งสัปดาห์ได้ปรับตัวลดลงตามตลาดภูมิภาค ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้น ส่งผลให้นักลงทุนทั่วโลกชะลอการลงทุนเพื่อรอดูสถานการณ์ ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกไม่มีการเคลือนไหวมากนักในช่วงนี้
สำหรับตลาดหุ้นในบ้านเราสัปดาห์นี้จะเป็นอย่างไร ในสายตาของผู้จัดการกองทุนรวม เรามีมุมมองความคิดเห็นและการลงทุนมาฝากกัน...
พิพัฒน์ พิศณุวงรักษ์ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ทหารไทย จำกัด บอกว่า สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นระยะสั้นนั้น คาดว่าจะแกว่งตัวลง เนื่องจากขณะนี้ตลาดหุ้นไทยยังไม่มีปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุน โดยส่วนใหญ่จะเป็นการปรับตามตลาดต่างประเทศ อีกทั้งปัจจัยทางการเมืองที่เกิดขึ้นได้ส่งผลให้นักลงทุนเกิดความไม่มั่นใจต่อภาวะเศรษฐกิจว่าจะมีทิศทางเป็นอย่างไร ซึ่งอาจจะทำให้ตลาดมีการปรับตัวลดลงได้
โดยมองว่าดัชนีอาจจะมีการปรับตัวลดลงไปอยู่ที่ 650 จุด หากว่ามีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้นก่อนวันที่ 26 ก.พ. นี้ ซึ่งเป็นวันตัดสินคดียึดทรัพย์ของอดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันดัชนีตลาดหุ้นจนอาจจะทำให้หุ้นมีการปรับตัวลดลงอย่างแน่นอน แต่จะมากหรือน้อยนั้นแล้วแต่สถานะการณ์ที่จะตามมาด้วย และปัจจัยดังกล่าวนั้นได้ส่งผลกระทบต่อการลงทุนของนักลงทุน ทำให้นักลงทุนต่างชะลอการลงทุนเพื่อรอความแน่ชัดของปัจจัยดังกล่าวด้วย
ในด้านของการลงทุนนั้น อยากแนะนำให้นักลงทุนหันมาลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และกองทุนรวมหุ้นระยะยาว(LTF) เก็บไว้ตั้งแต่ช่วงต้นปี โดยนักลงทุนจะได้ต้นทุนที่ถูกลง พร้อมทั้งได้รับสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษี ซึ่งส่วนใหญ่นักลงทุนที่เข้าซื้อกองทุนประเภทนี้ จะเข้าซื้อในช่วงปลายปี จนบางครั้งอาจจะส่งผลให้ต้นทุนการลงทุนปรับตัวสูงขึ้นด้วย แต่การทยอยเข้าซื้อในช่วงที่ตลาดมีการปรับตัวลดลงจึงถือเป็นผลดีต่อการลงทุนของนักลงทุนเอง
"พิพัฒน์" กล่าวอีกว่า สำหรับปัจจัยการเมืองที่เกิดขึ้น เรามองว่าเป็นปัจจัยระยะสั้นๆเท่านั้น และไม่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนในกองทุนประเภทนี้ เนื่องจากกองทุนทั้งสองเป็นการลงทุนในระยะยาว โอกาสที่ตลาดหุ้นจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นในอนาคตจึงมีความเป็นไปได้สูง โดยเรามีความมั่นใจว่าถึงแม้ช่วงนี้เศรษฐกิจจะไม่ดีมากนัก แต่ในอนาคตอีก 2-3 ปีนี้ เศรษฐกิจจะมีการปรับตัวดีขึ้นอย่างแน่นอน
ขณะเดียวกัน ในส่วนของเม็ดเงินไหลเข้าจากนักลงทุนต่างชาติ เรามองว่า ยังมีไหลเข้ามาลงทุนในประเทศไทยบ้างแต่ไม่มากเหมือนช่วงที่ผ่านมา โดยส่วนใหญ่นักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในระยะนี้จะเป็นการเข้ามาลงทุนในระยะสั้น มากกว่าการลงทุนในระยะยาว และหากเศรษฐกิจดีขึ้น คาดว่าเม็ดเงินที่เข้ามาลงทุนจะอยู่ในตลาดหุ้นไทยได้นาน แต่หากเศรษฐกิจไม่ดี จะทำให้เม็ดเงินดังกล่าวมีโอกาสที่จะไหลออกได้ง่าย เพราะเม็ดเงินเหล่านี้พร้อมที่จะไหลเข้าไหลออกได้ตลอดเวลา เพื่อสร้างผลตอบแทนให้แก่ตนเอง
โดยส่วนใหญ่ดัชนีหุ้นตลาดทั้งสัปดาห์ได้ปรับตัวลดลงตามตลาดภูมิภาค ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้น ส่งผลให้นักลงทุนทั่วโลกชะลอการลงทุนเพื่อรอดูสถานการณ์ ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกไม่มีการเคลือนไหวมากนักในช่วงนี้
สำหรับตลาดหุ้นในบ้านเราสัปดาห์นี้จะเป็นอย่างไร ในสายตาของผู้จัดการกองทุนรวม เรามีมุมมองความคิดเห็นและการลงทุนมาฝากกัน...
พิพัฒน์ พิศณุวงรักษ์ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ทหารไทย จำกัด บอกว่า สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นระยะสั้นนั้น คาดว่าจะแกว่งตัวลง เนื่องจากขณะนี้ตลาดหุ้นไทยยังไม่มีปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุน โดยส่วนใหญ่จะเป็นการปรับตามตลาดต่างประเทศ อีกทั้งปัจจัยทางการเมืองที่เกิดขึ้นได้ส่งผลให้นักลงทุนเกิดความไม่มั่นใจต่อภาวะเศรษฐกิจว่าจะมีทิศทางเป็นอย่างไร ซึ่งอาจจะทำให้ตลาดมีการปรับตัวลดลงได้
โดยมองว่าดัชนีอาจจะมีการปรับตัวลดลงไปอยู่ที่ 650 จุด หากว่ามีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้นก่อนวันที่ 26 ก.พ. นี้ ซึ่งเป็นวันตัดสินคดียึดทรัพย์ของอดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันดัชนีตลาดหุ้นจนอาจจะทำให้หุ้นมีการปรับตัวลดลงอย่างแน่นอน แต่จะมากหรือน้อยนั้นแล้วแต่สถานะการณ์ที่จะตามมาด้วย และปัจจัยดังกล่าวนั้นได้ส่งผลกระทบต่อการลงทุนของนักลงทุน ทำให้นักลงทุนต่างชะลอการลงทุนเพื่อรอความแน่ชัดของปัจจัยดังกล่าวด้วย
ในด้านของการลงทุนนั้น อยากแนะนำให้นักลงทุนหันมาลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และกองทุนรวมหุ้นระยะยาว(LTF) เก็บไว้ตั้งแต่ช่วงต้นปี โดยนักลงทุนจะได้ต้นทุนที่ถูกลง พร้อมทั้งได้รับสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษี ซึ่งส่วนใหญ่นักลงทุนที่เข้าซื้อกองทุนประเภทนี้ จะเข้าซื้อในช่วงปลายปี จนบางครั้งอาจจะส่งผลให้ต้นทุนการลงทุนปรับตัวสูงขึ้นด้วย แต่การทยอยเข้าซื้อในช่วงที่ตลาดมีการปรับตัวลดลงจึงถือเป็นผลดีต่อการลงทุนของนักลงทุนเอง
"พิพัฒน์" กล่าวอีกว่า สำหรับปัจจัยการเมืองที่เกิดขึ้น เรามองว่าเป็นปัจจัยระยะสั้นๆเท่านั้น และไม่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนในกองทุนประเภทนี้ เนื่องจากกองทุนทั้งสองเป็นการลงทุนในระยะยาว โอกาสที่ตลาดหุ้นจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นในอนาคตจึงมีความเป็นไปได้สูง โดยเรามีความมั่นใจว่าถึงแม้ช่วงนี้เศรษฐกิจจะไม่ดีมากนัก แต่ในอนาคตอีก 2-3 ปีนี้ เศรษฐกิจจะมีการปรับตัวดีขึ้นอย่างแน่นอน
ขณะเดียวกัน ในส่วนของเม็ดเงินไหลเข้าจากนักลงทุนต่างชาติ เรามองว่า ยังมีไหลเข้ามาลงทุนในประเทศไทยบ้างแต่ไม่มากเหมือนช่วงที่ผ่านมา โดยส่วนใหญ่นักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในระยะนี้จะเป็นการเข้ามาลงทุนในระยะสั้น มากกว่าการลงทุนในระยะยาว และหากเศรษฐกิจดีขึ้น คาดว่าเม็ดเงินที่เข้ามาลงทุนจะอยู่ในตลาดหุ้นไทยได้นาน แต่หากเศรษฐกิจไม่ดี จะทำให้เม็ดเงินดังกล่าวมีโอกาสที่จะไหลออกได้ง่าย เพราะเม็ดเงินเหล่านี้พร้อมที่จะไหลเข้าไหลออกได้ตลอดเวลา เพื่อสร้างผลตอบแทนให้แก่ตนเอง