xs
xsm
sm
md
lg

มูลค่าขายชอร์ตปี52แตะ5หมื่นล.ดันธุรกิจให้ยืมหุ้นส่อแววขยายตัว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน- มูลค่าขายชอร์ตปี52 เกือบแตะ 5 หมื่นล้านบาท โต 100%จากปีก่อน เหตุดัชนีตลาดหุ้นไทยมีความผันผวนแรง ด้านบล.บัวหลวง ธุรกิจยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ปีนี้โตกว่าปี52 จากทิศทางตลาดหุ้นยังคงแกว่งตัวรุนแรง อีกทั้งต้นทุนเทรดหุ้นนักลงทุนต่ำลงจากเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่นขั้นบันได ส่งผลเกิดการเล่นรอบมากขึ้น และช่วยผลักดันให้พอร์ตโบรกเกอร์ขายชอร์ตเพิ่ม ขณะที่ภาพรวมตลาดหุ้นช่วงนี้ดัชนีอ่อนตัวลง จากการเทขายของบรรดากองทุนรวม และแอลทีเอฟ อาร์เอ็มเอฟ
จากข้อมูลการทำธุรกรรมขายชอร์ตของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)พบว่ามูลค่าการซื้อขายชอร์ตปี 2552 มีมูลค่า 49,696.76 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น25, 296.76 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น103% จากปี2551 ที่มูลค่า24,402.23 ล้านบาท โดย ดัชนีตลาดห้นไทยปีก่อนมีการแกว่งตัว 340 จุด ซึ่งดัชนีสูงสุดที่ 751.86 จุด ดัชนีต่ำสุดที่ 411.27 จุด
สำหรับ หุ้นที่มีการขายชอร์ตมากที่สุด 5 คือ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT มูลค่า 7,593.26 ล้านบาท บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)หรือ PTTEP มูลค่า 5,705.86 ล้านบาท บริษัท ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PTTAR มูลค่า4,579.40 ล้านบาท บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน)หรือ BANPU มูลค่า 3,794.35 ล้านบาท และธนาคารไทยพาณิชย์ SCB มูลค่า 2,598.82 ล้านบาท
นายวสันต์ จันทร์สัจจา ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่ามูลค่าการขายชอร์ตในปี2553น่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้น หรือใกล้เคียงกับปี 2552ที่มีมูลค่าการขายชอร์ต 49,696.76 ล้านบาท เนื่องจากภาวะตลาดหุ้นปีนี้จะมีความผันผวนมากทำให้นักลงทุนหันมาขายชอร์ตเพื่อทำกำไร และจากการที่มีการเปิดเสรีค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ (ค่าคอมมิชชั่น)ขั้นบันได นั้นจะทำให้นักลงทุนมีต้นทุนในการซื้อขายหุ้นลดลงและทำให้นักลงทุนมีการลงทุนลักษณะเล่นรอบได้มากขึ้น
ทั้งนี้จะส่งผลให้มูลค่าการซื้อขายหุ้นของตลาดมีการปรับตัวมากขึ้นและการขายชอร์ตสามารถเล่นรอบได้เช่นกัน ประกอบกับการที่มีพอร์ตการลงทุนของโบรกเกอร์นั้นก็จะทำให้มีการขายชอร์ตมากขึ้น ซึ่งหากภาวะตลาดหุ้นไทยมีการผันผวนดัชนีมีส่วนต่างระหว่างจุดสูงสุด และจุดต่ำสุดระหว่างวัน 10-20 จุด นั้นจะทำให้มีนักลงทุนและพอร์ตของโบรกเกอร์มีการขายชอร์ตจำนวนมาก โดยเห็นได้จากในวันที่ 5 มกราคม ซึ่งเป็นวันที่ 2 ของการเปิดซื้อขายหุ้นหลังจากที่หยุดปีใหม่ ดัชนีมีแกว่งตัวเพียง 10 จุด แต่มูลค่าการขายชอร์ตในวันดังกล่าวมีจำนวน 219 ล้านบาท ซึ่งถือว่ามูลค่าที่สูง
“เดิมบริษัทคาดว่ามูลค่าขายชอร์ตปี 52 จะลดลงจากปี51 แต่จากที่ตลาดหุ้นผันผวนทำให้มูลค่าขายชอร์ตปีที่ผ่านมาโตเยอะมากเฉลี่ย 4.1-4.2 พันล้านบาทต่อเดือน ซึ่งมากกว่าปี51 ที่เฉลี่ยต่อเดือนที่ 2 พันล้านบาทและจากบทวิเคราะห์ของบริษัทมองว่าปีนี้ตลาดหุ้นจะผันผวน อีกทั้งจากที่เปิดเสรีค่าคอมมิชชั่นขั้นบันไดทำให้นักลงทุนมีต้นทุนเทรดหุ้นต่ำลงทำให้นักลงทุนเล่นรอบมากขึ้น รวมถึงพอร์ตโบรกเกอร์มีการขายชอร์ต จะทำให้มูลค่าการซื้อขายชอร์ตปีนี้จะเพิ่มขึ้นหรือใกล้เคียงกับปีก่อน”นายวสันต์กล่าว
สำหรับในปีนี้บริษัทจะมีการขยายฐานนักลงทุนให้มาเปิดบัญชีSBLมากขึ้น โดยจะมีการจัดโปรโมชั่นให้ของกำนัลแก่นักลงทุนภายในเดือนมกราคมนี้ ซึ่งบริษัทคาดว่าจะมีนักลงทุนมาเปิดบัญชีเพิ่มเป็น 200 บัญชี จากปี2551 ที่มี 50 บัญชี และบริษัทอยู่ระหว่างเจรจากับทางบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.)อีก 2 แห่ง ในการนำหุ้นมาให้ยืมเพิ่ม ซึ่งขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการพัฒนาระบบในการให้บริการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์มากขึ้นจากปัจจุบันที่ระบบของบริษัทยังไม่สามารถเปิดให้บริการยืมและให้ยืมหุ้นได้เต็มที่

โบรกฯมองหุ้นไทยปรับตัวลดลง
ขณะเดียวกัน นายวสันต์ กล่าวว่า ขณะนี้นักวิเคราะห์มีมุมมองว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยจะมีการปรับตัวลดลง เนื่องจาก ในปีที่ผ่านมาดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 60% และในช่วงปลายปีก็มีกองทุนเข้ามาซื้อหุ้นจำนวนมาก จึงทำให้มีแนวโน้มกองทุนจะมีการขายหุ้นออก รวมถึงแรงขายของกองทุนหุ้นระยะยาว (LTF)และกองทุนเพื่อการเลี้ยชีพ(RMF)โดยหากมีข่าวร้ายเข้ากระทบเล็กน้อยดัชนีตลาดหุ้นไทยพร้อมที่จะมีการปรับตัวลดลงรุนแรง

ด้านความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทยวานนี้ (6ธ.ค.) ปิดที่ระดับ 735.73 จุด เพิ่มขึ้น 3.62 จุด หรือ 0.49% มูลค่าการซื้อขาย 17,888.83 ล้านบาท ซึ่งเป็นการทรงตัวในแดนบวกที่เริ่มรับแรงซื้อเข้ามาในช่วงท้ายตลาด โดยเฉพาะหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ อย่างหุ้นในกลุ่มอิเล็คทรอนิกส์, กลุ่มธนาคารพาณิชย์ และกลุ่มพลังงาน อีกทั้งนักลงทุนต่างชาติได้เริ่มกลับเข้ามาซื้อบ้างแล้ว
โดยระหว่างวันดัชนี ขยับขึ้นแตะจุดสูงสุดของวันที่ระดับ 737.12 จุด และต่ำสุดของวันอยู่ที่ 732.66 จุด ขณะที่หลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวานนี้ เพิ่มขึ้น 177 หลักทรัพย์ ลดลง 132 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 140 หลักทรัพย์ ด้านหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่ TMB มูลค่าการซื้อขาย 2,180.40 ล้านบาท ปิดที่1.36 บาท เพิ่มขึ้น 0.06 บาท BANPU มูลค่าการซื้อขาย 935.87 ล้านบาท ปิดที่ 592.00 บาท เพิ่มขึ้น 14.00 บาท TTA มูลค่าการซื้อขาย 917.55 ล้านบาท ปิดที่ 29.25 บาท เพิ่มขึ้น 0.75 บาท KBANK มูลค่าการซื้อขาย 848.00 ล้านบาท ปิดที่ 85.75 บาท เพิ่มขึ้น 1.25 บาท และBBL มูลค่าการซื้อขาย 733.12 ล้านบาท ปิดที่ 115.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท
นายวีระชัย ครองสามสี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ฟาร์อีสท์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ทรงตัว ในแดนบวก เนื่องจากเริ่มที่จะมีแรงซื้อเข้ามาในช่วงท้ายตลาด โดยเฉพาะหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ อย่างหุ้นในกลุ่มอิเล็คทรอนิกส์, กลุ่มธนาคารพาณิชย์ และกลุ่มพลังงาน แม้ว่าปัจจัยช่วงนี้ยังไม่เด่นชัดอะไร ยกเว้นแต่นักลงทุนต่างชาติได้เริ่มกลับเข้ามาซื้อบ้างแล้ว หลังจากที่ได้ขายไปเมื่อปลายปี 2552
ทั้งนี้ ตลาดมีความคาดหวังผลประกอบการงวดไตรมาส 4/52 ส่วนใหญ่จะออกมาเติบโตดีขึ้น จึงทำให้นักลงทุนหันมา cover หุ้นหลัก ๆ ซึ่งหากมองภาพโดยรวมของตลาดฯก็ยังปรับตัวได้ดีขึ้นจากเมื่อสิ้นปี 2552 และถ้าไม่เจอประเด็นทางการเมือง ดัชนีฯก็มีโอกาสที่จะขึ้นถึง 750 จุดได้
"เศรษฐกิจโลกมีการฟื้นตัวขึ้น บ้านเราก็น่าจะฟื้นตัวขึ้นด้วย และเม็ดเงินไหลเข้าเอเชียด้วย ทำให้ตลาดหุ้นในแถบเอเชียต่างบวกกันอย่างทั่วหน้า ยกเว้นแต่ตลาดจีน แต่โดยรวมก็ไม่ได้มีผลอะไร"นายวีระชัย กล่าว
แต่สิ่งที่น่าจับตาเวลานี้ คือ กลุ่มอิเล็คทรอนิกส์ ที่น่าจะน่าจะขึ้นมาแรงตามอุตสาหกรรมเซมิคอนดัคเตอร์ของโลกที่คาดว่าจะมีการเติบโต 8% ในปีนี้(2553) ดังนั้นแนวโน้มการลงทุนในวันนี้(7 ม.ค.)ประเมินว่า ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสยืน 740 จุดได้ พร้อมให้แนวรับไว้ที่ 730 จุด แนวต้าน 740, 750 จุด
กำลังโหลดความคิดเห็น