ASTVผู้จัดการรายวัน – นักวิเคราะห์ ปรับเพิ่มเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทยปี 53 เป็น 812 จุด ส่วนตัวเลขจีดีพีสิ้นปีนี้เหลือติดลบ 3.2% ขณะที่ปี2553 โต 3.5% มากขึ้นจากการสำรวจความเห็นครั้งก่อน เหตุ ได้รับปัจจัยบวกจากโครงการไทยเข้มแข็ง ผนวกกับภาวะเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว แต่ยังมีปัจจัยลบคอยกดดันคือ ปัญหาการเมือง และมาบตาพุด และความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจโลก ส่งผลตลาดหุ้นไทยยังผันผวนสูง แนะนำรัฐบาลเร่งแก้มาบตาพุดให้ชัดเจน โปร่งใส พร้อมเร่งเบิกจ่ายเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างความสมานฉันท์ในสังคม ส่วนเฉพาะม.ค.ปีหน้า คาดดัชนีปรับตัวลดลง จากแรงขายหุ้นกองทุนแอลทีเอฟ บวกความกังวลเม็ดเงินต่างชาติยังไม่กลับมา
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ เปิดเผยถึงผลการสำรวจความคิดเห็นนักวิเคราะห์ ว่า นักวิเคราะห์ได้มีการปรับเพิ่มการคาดการณ์ดัชนีตลาดหุ้นไทยสิ้นปี 2552 เพิ่มขึ้นเฉลี่ยเป็น 726 จุด จากเดิมที่เฉลี่ย 674 จุด จากการสำรวจครั้งก่อนในเดือนกันยายน และได้ปรับเพิ่มการคาดการณ์ดัชนีปี2553จะอยู่ที่ 812 จุด จากเดิมที่คาดว่าจะอยู่ที่ 764 จุด และปรับเพิ่มอัตราการเติบโตเศรษฐกิจปีนี้จะติดลบ 3.2% จากเดิมที่คาดว่าจะติดลบ3.4% โดยมองว่าจีดีพีปี 2553 จะเติบโตเพิ่มเป็น 3.5% จากเดิมที่คาดโต 3.2%
โดยสาเหตุที่มีการปรับประมาณการณ์เป้าหมายดัชนีและการเติบโตจีดีพีสิ้นปี2552 และปีหน้า เนื่องจาก มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบายไทยในการออกมาตรการไทยเข้มแข็ง และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและประเทศคู่ค้าที่มีการฟื้นตัวในช่วงกลางปีที่ผ่านมา และคาดว่าจะมีการฟื้นตัวต่อเนื่องจึงเป็นปัจจัยบวกต่อไปในปีหน้า โดยจะทำให้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน(บจ.)มีการปรับตัวดีขึ้น 13.3% โดยกลุ่มที่จะมีการเติบโตกำไรสูงสุด3อันดับแรกคือหุ้นกลุ่มโรงแรม คาดกำไรโต 76.8% จากปีนี้ที่มีกำไรต่ำ กลุ่มปิโตเคมีคาดกำไรโต 40.6% และกลุ่มเดินเรือกำไรโต 20.39%
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัจจัยลบที่ยังกดดันปี2553 ซึ่งนักวิเคราะห์วิเคราะห์ส่วนใหญ่ 95%มองว่าจะเป็นปัจจัยการเมืองภายในประเทศ โดยเสถีรภาพทางการเมืองด้านความขัดแย้งต่างๆถือเป็นปัจจัยอันดับหนึ่งที่กดดันเศรษฐกิจ ทำให้นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มีความมั่นใจน้อยต่อความมั่นคงทางการเมืองจากที่มีความขัดแย้งระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล และการชุมนุมกดดัน
ส่วนรองมาคือปัญหาโครงการมาบตาพุด ซึ่งยังไม่มีความชัดเจน ซึ่งที่มีผู้ตอบ 45% เพราะจะกระทบต่อการลงทุนตรง อีกทั้งราคาน้ำมันที่อาจปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ความเสี่ยงอาจมีการถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศต่างที่อาจเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คาดไว้ ทำให้เศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงที่อาจไม่ฟื้นตัวต่อเนื่อง
ดังนั้นจากปัจจัยลบดังกล่าวจะส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปี 2553 จะมีความผันผวนรุนแรงแกว่งตัวถึง 220 จุด จากที่นักวิเคราะห์ประเมินว่าดัชนีสูงสุดปีหน้าจะอยู่ที่ 845 จุด และมีจุดต่ำสุดอยู่ที่ 625 จุด ส่วนปัจจัยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนั้นนักวิเคราะห์มองว่าอัตราดอกเบี้ยจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงปลายไตรมาส1ถึงกลางปี2553 โดยมีผู้ตอบถึง 56% และมีผู้ตอบ38% ว่าจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงในช่วงครึ่งปีหลัง และมีผู้ตอบเพียง 6% ว่าจะมีการขึ้นในปลายปี 2553ถึงต้นปี2554
นายสมบัติ กล่าวว่า มาตรการที่นักวิเคราะห์เสนอให้รัฐบาลมีการดำเนินงานโดยเร็วเพื่อประโยชน์ต่อภาวะเศรษฐกิจ สังคม และตลาดทุนไทย คือ เร่งแก้ไขปัญหามาบตาพุดทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยต้องสร้างความชัดเจนในแนวทางปฏิบัติรวมถึงออกกฎหมายหรือกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องเพื่อเป็นแนวทางสำหรับโครงการอื่นๆต่อไป รวมทั้งการเร่งรัดเบิกจ่ายและดำเนินโครงการไทยเข้มแข็งให้รวดเร็ว โปร่งใส มีประสิทธิภาพ และการลดความขัดแจ้งสร้างความสมานฉันท์ในสังคม
สำหรับนักลงทุน นักวิเคราะห์แนะนำให้ใช้ความระมัดระวังในการลงทุน และพิจารณาจังหวะในการเข้าลงทุนให้เหมาะสม จากที่ตลาดหุ้นจะมีความผันผวน โดยควรลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง ธุรกิจมีการเติบโตตามเศรษฐกิจไทยและต่างประเทศ และควรติดตามข่าวสารข้อมูลการลงทุนอย่างใกล้ชิดถึงปัจจัยที่จะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้น โดยหุ้นเด่นที่นักวิเคราะห์แนะนำลงทุนในปีหน้าตรงกันหลายแห่ง คือ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)หรือ KBANKธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)หรือ BAYธนาคารไทยพาณิชย์จำกัด (มหาชน)หรือ SCB บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)หรือ PTTEPบริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ทิปโก้แอสฟัลท์ จำกัด (มหาชน)บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน)หรือ ADVANCเป็นต้น
สำหรับทิศทางการลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศนั้น นายสมบัติกล่าวว่า ยังไม่มั่นใจว่าเม็ดเงินต่างประเทศจะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วงหลังปีใหม่หรือไม่ จากที่ไทยยังมีปัญหาการเมือง ซึ่งจะเห็นได้ว่าในปีนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูง เศรษฐกิจเติบโต แต่เม็ดเงินไหลเข้ามาไม่มาก จากช่วงที่ผ่านมาเมื่อหุ้นฟื้นเศรษฐกิจฟื้นจะมีเม็ดเงินลงทุนต่างประเทศไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยประมาณ 1 แสนล้านบาท ซึ่งส่วนตัวมองว่าในเดือนมกราคม ดัชนีจะผันผวนสูงและมีการปรับตัวลดลงมากได้ จากแรงซื้อจะลดลงและมีแรงขายออกของกองทุนหุ้นระยะยาว(LTF)ที่ครบอายุและต้องติดตามการแก้ไขปัญหามาบตาพุด
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ เปิดเผยถึงผลการสำรวจความคิดเห็นนักวิเคราะห์ ว่า นักวิเคราะห์ได้มีการปรับเพิ่มการคาดการณ์ดัชนีตลาดหุ้นไทยสิ้นปี 2552 เพิ่มขึ้นเฉลี่ยเป็น 726 จุด จากเดิมที่เฉลี่ย 674 จุด จากการสำรวจครั้งก่อนในเดือนกันยายน และได้ปรับเพิ่มการคาดการณ์ดัชนีปี2553จะอยู่ที่ 812 จุด จากเดิมที่คาดว่าจะอยู่ที่ 764 จุด และปรับเพิ่มอัตราการเติบโตเศรษฐกิจปีนี้จะติดลบ 3.2% จากเดิมที่คาดว่าจะติดลบ3.4% โดยมองว่าจีดีพีปี 2553 จะเติบโตเพิ่มเป็น 3.5% จากเดิมที่คาดโต 3.2%
โดยสาเหตุที่มีการปรับประมาณการณ์เป้าหมายดัชนีและการเติบโตจีดีพีสิ้นปี2552 และปีหน้า เนื่องจาก มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบายไทยในการออกมาตรการไทยเข้มแข็ง และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและประเทศคู่ค้าที่มีการฟื้นตัวในช่วงกลางปีที่ผ่านมา และคาดว่าจะมีการฟื้นตัวต่อเนื่องจึงเป็นปัจจัยบวกต่อไปในปีหน้า โดยจะทำให้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน(บจ.)มีการปรับตัวดีขึ้น 13.3% โดยกลุ่มที่จะมีการเติบโตกำไรสูงสุด3อันดับแรกคือหุ้นกลุ่มโรงแรม คาดกำไรโต 76.8% จากปีนี้ที่มีกำไรต่ำ กลุ่มปิโตเคมีคาดกำไรโต 40.6% และกลุ่มเดินเรือกำไรโต 20.39%
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัจจัยลบที่ยังกดดันปี2553 ซึ่งนักวิเคราะห์วิเคราะห์ส่วนใหญ่ 95%มองว่าจะเป็นปัจจัยการเมืองภายในประเทศ โดยเสถีรภาพทางการเมืองด้านความขัดแย้งต่างๆถือเป็นปัจจัยอันดับหนึ่งที่กดดันเศรษฐกิจ ทำให้นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มีความมั่นใจน้อยต่อความมั่นคงทางการเมืองจากที่มีความขัดแย้งระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล และการชุมนุมกดดัน
ส่วนรองมาคือปัญหาโครงการมาบตาพุด ซึ่งยังไม่มีความชัดเจน ซึ่งที่มีผู้ตอบ 45% เพราะจะกระทบต่อการลงทุนตรง อีกทั้งราคาน้ำมันที่อาจปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ความเสี่ยงอาจมีการถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศต่างที่อาจเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คาดไว้ ทำให้เศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงที่อาจไม่ฟื้นตัวต่อเนื่อง
ดังนั้นจากปัจจัยลบดังกล่าวจะส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปี 2553 จะมีความผันผวนรุนแรงแกว่งตัวถึง 220 จุด จากที่นักวิเคราะห์ประเมินว่าดัชนีสูงสุดปีหน้าจะอยู่ที่ 845 จุด และมีจุดต่ำสุดอยู่ที่ 625 จุด ส่วนปัจจัยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนั้นนักวิเคราะห์มองว่าอัตราดอกเบี้ยจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงปลายไตรมาส1ถึงกลางปี2553 โดยมีผู้ตอบถึง 56% และมีผู้ตอบ38% ว่าจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงในช่วงครึ่งปีหลัง และมีผู้ตอบเพียง 6% ว่าจะมีการขึ้นในปลายปี 2553ถึงต้นปี2554
นายสมบัติ กล่าวว่า มาตรการที่นักวิเคราะห์เสนอให้รัฐบาลมีการดำเนินงานโดยเร็วเพื่อประโยชน์ต่อภาวะเศรษฐกิจ สังคม และตลาดทุนไทย คือ เร่งแก้ไขปัญหามาบตาพุดทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยต้องสร้างความชัดเจนในแนวทางปฏิบัติรวมถึงออกกฎหมายหรือกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องเพื่อเป็นแนวทางสำหรับโครงการอื่นๆต่อไป รวมทั้งการเร่งรัดเบิกจ่ายและดำเนินโครงการไทยเข้มแข็งให้รวดเร็ว โปร่งใส มีประสิทธิภาพ และการลดความขัดแจ้งสร้างความสมานฉันท์ในสังคม
สำหรับนักลงทุน นักวิเคราะห์แนะนำให้ใช้ความระมัดระวังในการลงทุน และพิจารณาจังหวะในการเข้าลงทุนให้เหมาะสม จากที่ตลาดหุ้นจะมีความผันผวน โดยควรลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง ธุรกิจมีการเติบโตตามเศรษฐกิจไทยและต่างประเทศ และควรติดตามข่าวสารข้อมูลการลงทุนอย่างใกล้ชิดถึงปัจจัยที่จะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้น โดยหุ้นเด่นที่นักวิเคราะห์แนะนำลงทุนในปีหน้าตรงกันหลายแห่ง คือ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)หรือ KBANKธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)หรือ BAYธนาคารไทยพาณิชย์จำกัด (มหาชน)หรือ SCB บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)หรือ PTTEPบริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ทิปโก้แอสฟัลท์ จำกัด (มหาชน)บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน)หรือ ADVANCเป็นต้น
สำหรับทิศทางการลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศนั้น นายสมบัติกล่าวว่า ยังไม่มั่นใจว่าเม็ดเงินต่างประเทศจะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วงหลังปีใหม่หรือไม่ จากที่ไทยยังมีปัญหาการเมือง ซึ่งจะเห็นได้ว่าในปีนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูง เศรษฐกิจเติบโต แต่เม็ดเงินไหลเข้ามาไม่มาก จากช่วงที่ผ่านมาเมื่อหุ้นฟื้นเศรษฐกิจฟื้นจะมีเม็ดเงินลงทุนต่างประเทศไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยประมาณ 1 แสนล้านบาท ซึ่งส่วนตัวมองว่าในเดือนมกราคม ดัชนีจะผันผวนสูงและมีการปรับตัวลดลงมากได้ จากแรงซื้อจะลดลงและมีแรงขายออกของกองทุนหุ้นระยะยาว(LTF)ที่ครบอายุและต้องติดตามการแก้ไขปัญหามาบตาพุด