ASTV ผู้จัดการรายวัน – กลุ่มสถาบัน เชื่อปี 2553ตลาดหุ้นไทยยังเติบโต แต่ไม่สูงมาก โดยผลตอบแทนลงทุนจะน้อยกว่าปีที่ผ่านมา เหลือแค่ 10 -15% ชู 5 กลุ่มเด่น ธนาคาร พลังงาน วัสดุก่อสร้าง คอนโดมิเนียม และยานยนต์ โตตามสภาวะเศรษฐกิจและดีมานต์ที่ต้องการใช้ พร้อมแนะอย่าลืมมองหุ้นขนาดกลางที่ราคามีโอกาสปรับตัวขึ้นมากกว่าหุ้นใหญ่ และแนะนำหลีกเลี่ยงหุ้นที่เกี่ยวข้องกับกฏและกติกาภาครัฐอย่าง สื่อสาร ที่แนวโน้ม3G ยังไร้ความชัดเชน ส่วนภาพรวมการเมือง มาบพุด ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันตลาด
นายวนา พูนผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ยูโอบี(ไทย) จำกัด กล่าวถึงภาวะตลาดหุ้นไทยช่วงไตรมาส1/2553 ว่า ภาพรวมตลาดหุ้นน่าจะปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น แต่ครึ่งหลังของไตรมาสหนึ่งต้องมาพิจารณาอีกครั้ง โดยต้องดูว่าเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศได้ปรับตัวขึ้นมาจริงหรือไม่ ขณะที่ประเทศไทย ก็ยังต้องดูปัจจัยในประเทศ คือ สถานการณ์การเมือง ว่าจะคลี่คลายออกมาในทิศทางไหน แต่โดยรวมยังเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยทั้งปีน่าจะดีขึ้น สอดคล้องกับเศรษฐกิจโลก
ขณะที่ปัจจัยอื่นๆ เช่น อัตราดอกเบี้ย ประเมินว่า ไม่น่าจะปรับตัวขึ้นมาเร็วนัก ซึ่งจุดนี้ก็จะช่วยให้ตลาดหุ้นมีแรงบวกเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับทิศทางของอัตราเงินเฟ้อที่ไม่น่าจะมีมากเท่าไร
ส่วนปัญหากรณีโครงการต่างๆที่ถูกระงับในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ส่วนตัวมองว่า เรื่องนี้ทำให้ผู้ลงทุน ดดยเพาะนักลงทุนต่างชาติขาดความั่นใจ และจะเป็นปัจจัยสำคัญที่คอยกดดันภาวะตลาดหุ้นไทยในปี 2553 เช่นกัน หากเรื่องดังกล่าวยังไม่มีข้อยุติ แต่ถ้าบางโครงการสามารถกลับมาดำเนินการต่อได้ ก็จะช่วยส่งผลต่อดัชนีหุ้นในปี2553 ให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ ส่วนผลกระทบทางลบมองว่าขณะนี้ราคาหุ้น ก็ได้รับรู้ในเรื่องนี้ไปแล้ว
สำหรับกลุ่มหลักทรัพย์ที่ทางบริษัทให้น้ำหนักลงทุนเป็นพิเศษ 5 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มธนาคาร ซื้อจะมีการเติบโตไปในทิศทางเดียวกับระบบเศรษฐกิจ ดังนั้นหากปีหน้าเศรษบกิจดีขึ้นอัตราการเติบโตในด้านการปล่อยสินเชื่อชของธนาคาร น่าจะดีขึ้นตามไปด้วย
2.กลุ่มพลังงาน มองว่ายังมีอัตราการเติบโตสูง ตามปริมาณความต้องการใช้พลังงานในรูปแบบต่างๆ รวมทั้งการปรับตัวขึ้นตามราคาวัตถุดิบ 3.กลุ่มวัสดุก่อสร้าง เนื่องจากมองว่าหุ้นในกลุ่มนี้น่าจะได้รับอานิสงส์จากการเบิกใช้งบประมาณของภาครัฐบาล ในโครงการด้านสาธารณูปโภคพื้นฐานต่างๆ
4.กลุ่มอสังริมทรัพย์ ซึ่งทางบริษัทได้แยกหุ้นในกลุ่มนี้ออกเป็น 2 ส่วน คือส่วนแรกคือผู้ประกอบการที่มีโครงการพัฒนาที่ดินตามแนวรถไฟฟ้า หรือโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆของภาครัฐน่าจะได้รับอานิสงส์จากเรื่องดังกล่าวไปด้วย จากปริมาณความต้องการที่พักอาศัยในย่านนี้ที่ยังมีอยู่ในอัตราที่สูง ขณะที่ผู้ประกอบการที่มุ่งพัฒนาบ้านหรู หรือบ้านที่มีราคาสูง มองว่าการดำเนินธุรกิจในปีหน้าน่าจะมีปัญหาอยู่บ้าง และ 5 .กลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์ โดยหุ้นที่เกี่ยวข้องกับชิ้นส่วนยานยนต์น่าจะได้รับผลดีจากแนวโน้มการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ที่มำให้ออดเอร์การสั่งสินค้ามีเพิ่มขึ้น อีกทั้งอุตสาหกรรมดังกล่าวก็ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐมาอย่างต่อเนื่อง
ด้าน นายพนุกร จันทรประภพ ผู้อำนวยการฝ่ายตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) แมนูไลฟ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นในปี 2553 ตลาดหุ้นไทยจะให้ผลตอบแทนอยู่ที่ประมาณ 10-15% ซึ่งน้อยกว่าในปีที่ผ่านมาอย่างแน่นอน เนื่องจากในปี2552 การลงทุนในตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนอยู่ที่ประมาณ 60% ทั้งนี้ แม้ว่าในปี 2553 เศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น แต่ผลตอบแทนที่นักลงทุนจะได้รับนั้นปรับตัวลดลงจากปัจจัยต่างๆที่ยังหาความชัดเจนไม่ได้
โดยบริษัทมองว่าหุ้นที่น่าสนใจในปีนี้ จะเป็นหุ้นที่มีขนาดกลางเป็นหลัก แทนการลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากในปี 2552 ซึ่งหุ้นเหล่านี้มีราคาลดลงจากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม หุ้นขนาดกลางที่น่าสนในได้แก่ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มประกันชีวิต ขณะที่หุ้นอสังหาริมทรัพย์ยังคงได้รับความสนใจ เนื่องจากหากมองว่าอัตราดอกเบี้ยไม่ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงมา และประชาชนยังคงมีความต้องการซื้อบ้านอีกเยอะ รวมทั้งมองว่า รัฐบาลจะมีการยืดมาตรการภาษีของอสังหาริมทรัพย์ออกไปอีก และจากจุดนี้จะส่งผลดีต่อนักลงทุนที่ต้องการซื้อบ้านในช่วงที่ดอกเบี้ยต่ำ
แต่ กลุ่มที่นักลงทุนควรให้ความระมัดระวัง คือ หุ้นกลุ่มที่ต้องอาศัยกฏกติกาจากทางภาครัฐ ซึ่งไม่มีความชัดเจนเท่าที่ควร อาทิหุ้นในกลุ่มของโทรมนาคม ที่ต้องรอการตัดสินใจของทางภาครัฐในการอนุมัติในเรื่องต่างๆเช่น 3G ที่ทำให้การลงทุนค่อนข้างมีความเสี่ยง
ก่อนหน้านี้ สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ โดยนายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมฯระบุผลการสำรวจความคิดเห็นนักวิเคราะห์ ว่า นักวิเคราะห์ได้มีการปรับเพิ่มการคาดการณ์ดัชนีตลาดหุ้นไทยสิ้นปี 2552เพิ่มขึ้นเฉลี่ยเป็น 726 จุด จากเดิมที่เฉลี่ย 674 จุด และได้ปรับเพิ่มการคาดการณ์ดัชนีปี2553จะอยู่ที่ 812 จุด จากเดิมที่คาดว่าจะอยู่ที่ 764 จุด และปรับเพิ่มอัตราการเติบโตเศรษฐกิจปีนี้จะติดลบ 3.2% จากเดิมที่คาดว่าจะติดลบ3.4% โดยมองว่าจีดีพีปีหน้าจะเติบโตเพิ่มเป็น 3.5% ซึ่งการปรับเพิ่มประมาณการณ์เป้าหมายดัชนีและการเติบโตจีดีพีเนื่องจาก มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบายไทยในการออกมาตรการไทยเข้มแข็ง และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและประเทศคู่ที่มีการฟื้นตัวในช่วงกลางปีที่ผ่านมา และคาดว่าจะมีการฟื้นตัวต่อเนื่องและเป็นปัจจัยบวกต่อไปในปีหน้า โดยจะทำให้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนมีการปรับตัวดีขึ้น 13.3% ซึ่งกลุ่มที่จะมีการเติบโตกำไรสูงสุด3อันดับแรกคือหุ้นกลุ่มโรงแรมคาดกำไรโต 76.8% กลุ่มปิโตเคมีคาดกำไรโต 40.6% และกลุ่มเดินเรือกำไรโต 20.39%
ขณะที่ ปัจจัยลบที่ยังกดดันปีหน้า จะเป็นปัจจัยการเมืองภายในประเทศ รองมาคือปัญหาโครงการมาบตาพุด ซึ่งยังไม่มีความชัดเจน ทำให้นักวิเคราะห์แนะนำว่า ควรระมัดระวังในการลงทุน และพิจารณาจังหวะในการเข้าลงทุนให้เหมาะสม จากที่ตลาดหุ้นจะมีความผันผวน โดยควรลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง ธุรกิจมีการเติบโตตามเศรษฐกิจไทยและต่างประเทศ และควรติดตามข่าวสารข้อมูลการลงทุนอย่างใกล้ชิด
โดยหุ้นเด่นที่แนะนำลงทุนตรงกันหลายแห่ง ปีหน้า คือ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)หรือ KBANKธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)หรือ BAYธนาคารไทยพาณิชย์จำกัด (มหาชน)หรือ SCB บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)หรือ PTTEPบริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ทิปโก้แอสฟัลท์ จำกัด (มหาชน)บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน)หรือ ADVANC
นายวนา พูนผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ยูโอบี(ไทย) จำกัด กล่าวถึงภาวะตลาดหุ้นไทยช่วงไตรมาส1/2553 ว่า ภาพรวมตลาดหุ้นน่าจะปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น แต่ครึ่งหลังของไตรมาสหนึ่งต้องมาพิจารณาอีกครั้ง โดยต้องดูว่าเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศได้ปรับตัวขึ้นมาจริงหรือไม่ ขณะที่ประเทศไทย ก็ยังต้องดูปัจจัยในประเทศ คือ สถานการณ์การเมือง ว่าจะคลี่คลายออกมาในทิศทางไหน แต่โดยรวมยังเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยทั้งปีน่าจะดีขึ้น สอดคล้องกับเศรษฐกิจโลก
ขณะที่ปัจจัยอื่นๆ เช่น อัตราดอกเบี้ย ประเมินว่า ไม่น่าจะปรับตัวขึ้นมาเร็วนัก ซึ่งจุดนี้ก็จะช่วยให้ตลาดหุ้นมีแรงบวกเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับทิศทางของอัตราเงินเฟ้อที่ไม่น่าจะมีมากเท่าไร
ส่วนปัญหากรณีโครงการต่างๆที่ถูกระงับในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ส่วนตัวมองว่า เรื่องนี้ทำให้ผู้ลงทุน ดดยเพาะนักลงทุนต่างชาติขาดความั่นใจ และจะเป็นปัจจัยสำคัญที่คอยกดดันภาวะตลาดหุ้นไทยในปี 2553 เช่นกัน หากเรื่องดังกล่าวยังไม่มีข้อยุติ แต่ถ้าบางโครงการสามารถกลับมาดำเนินการต่อได้ ก็จะช่วยส่งผลต่อดัชนีหุ้นในปี2553 ให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ ส่วนผลกระทบทางลบมองว่าขณะนี้ราคาหุ้น ก็ได้รับรู้ในเรื่องนี้ไปแล้ว
สำหรับกลุ่มหลักทรัพย์ที่ทางบริษัทให้น้ำหนักลงทุนเป็นพิเศษ 5 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มธนาคาร ซื้อจะมีการเติบโตไปในทิศทางเดียวกับระบบเศรษฐกิจ ดังนั้นหากปีหน้าเศรษบกิจดีขึ้นอัตราการเติบโตในด้านการปล่อยสินเชื่อชของธนาคาร น่าจะดีขึ้นตามไปด้วย
2.กลุ่มพลังงาน มองว่ายังมีอัตราการเติบโตสูง ตามปริมาณความต้องการใช้พลังงานในรูปแบบต่างๆ รวมทั้งการปรับตัวขึ้นตามราคาวัตถุดิบ 3.กลุ่มวัสดุก่อสร้าง เนื่องจากมองว่าหุ้นในกลุ่มนี้น่าจะได้รับอานิสงส์จากการเบิกใช้งบประมาณของภาครัฐบาล ในโครงการด้านสาธารณูปโภคพื้นฐานต่างๆ
4.กลุ่มอสังริมทรัพย์ ซึ่งทางบริษัทได้แยกหุ้นในกลุ่มนี้ออกเป็น 2 ส่วน คือส่วนแรกคือผู้ประกอบการที่มีโครงการพัฒนาที่ดินตามแนวรถไฟฟ้า หรือโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆของภาครัฐน่าจะได้รับอานิสงส์จากเรื่องดังกล่าวไปด้วย จากปริมาณความต้องการที่พักอาศัยในย่านนี้ที่ยังมีอยู่ในอัตราที่สูง ขณะที่ผู้ประกอบการที่มุ่งพัฒนาบ้านหรู หรือบ้านที่มีราคาสูง มองว่าการดำเนินธุรกิจในปีหน้าน่าจะมีปัญหาอยู่บ้าง และ 5 .กลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์ โดยหุ้นที่เกี่ยวข้องกับชิ้นส่วนยานยนต์น่าจะได้รับผลดีจากแนวโน้มการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ที่มำให้ออดเอร์การสั่งสินค้ามีเพิ่มขึ้น อีกทั้งอุตสาหกรรมดังกล่าวก็ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐมาอย่างต่อเนื่อง
ด้าน นายพนุกร จันทรประภพ ผู้อำนวยการฝ่ายตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) แมนูไลฟ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นในปี 2553 ตลาดหุ้นไทยจะให้ผลตอบแทนอยู่ที่ประมาณ 10-15% ซึ่งน้อยกว่าในปีที่ผ่านมาอย่างแน่นอน เนื่องจากในปี2552 การลงทุนในตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนอยู่ที่ประมาณ 60% ทั้งนี้ แม้ว่าในปี 2553 เศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น แต่ผลตอบแทนที่นักลงทุนจะได้รับนั้นปรับตัวลดลงจากปัจจัยต่างๆที่ยังหาความชัดเจนไม่ได้
โดยบริษัทมองว่าหุ้นที่น่าสนใจในปีนี้ จะเป็นหุ้นที่มีขนาดกลางเป็นหลัก แทนการลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากในปี 2552 ซึ่งหุ้นเหล่านี้มีราคาลดลงจากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม หุ้นขนาดกลางที่น่าสนในได้แก่ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มประกันชีวิต ขณะที่หุ้นอสังหาริมทรัพย์ยังคงได้รับความสนใจ เนื่องจากหากมองว่าอัตราดอกเบี้ยไม่ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงมา และประชาชนยังคงมีความต้องการซื้อบ้านอีกเยอะ รวมทั้งมองว่า รัฐบาลจะมีการยืดมาตรการภาษีของอสังหาริมทรัพย์ออกไปอีก และจากจุดนี้จะส่งผลดีต่อนักลงทุนที่ต้องการซื้อบ้านในช่วงที่ดอกเบี้ยต่ำ
แต่ กลุ่มที่นักลงทุนควรให้ความระมัดระวัง คือ หุ้นกลุ่มที่ต้องอาศัยกฏกติกาจากทางภาครัฐ ซึ่งไม่มีความชัดเจนเท่าที่ควร อาทิหุ้นในกลุ่มของโทรมนาคม ที่ต้องรอการตัดสินใจของทางภาครัฐในการอนุมัติในเรื่องต่างๆเช่น 3G ที่ทำให้การลงทุนค่อนข้างมีความเสี่ยง
ก่อนหน้านี้ สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ โดยนายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมฯระบุผลการสำรวจความคิดเห็นนักวิเคราะห์ ว่า นักวิเคราะห์ได้มีการปรับเพิ่มการคาดการณ์ดัชนีตลาดหุ้นไทยสิ้นปี 2552เพิ่มขึ้นเฉลี่ยเป็น 726 จุด จากเดิมที่เฉลี่ย 674 จุด และได้ปรับเพิ่มการคาดการณ์ดัชนีปี2553จะอยู่ที่ 812 จุด จากเดิมที่คาดว่าจะอยู่ที่ 764 จุด และปรับเพิ่มอัตราการเติบโตเศรษฐกิจปีนี้จะติดลบ 3.2% จากเดิมที่คาดว่าจะติดลบ3.4% โดยมองว่าจีดีพีปีหน้าจะเติบโตเพิ่มเป็น 3.5% ซึ่งการปรับเพิ่มประมาณการณ์เป้าหมายดัชนีและการเติบโตจีดีพีเนื่องจาก มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบายไทยในการออกมาตรการไทยเข้มแข็ง และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและประเทศคู่ที่มีการฟื้นตัวในช่วงกลางปีที่ผ่านมา และคาดว่าจะมีการฟื้นตัวต่อเนื่องและเป็นปัจจัยบวกต่อไปในปีหน้า โดยจะทำให้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนมีการปรับตัวดีขึ้น 13.3% ซึ่งกลุ่มที่จะมีการเติบโตกำไรสูงสุด3อันดับแรกคือหุ้นกลุ่มโรงแรมคาดกำไรโต 76.8% กลุ่มปิโตเคมีคาดกำไรโต 40.6% และกลุ่มเดินเรือกำไรโต 20.39%
ขณะที่ ปัจจัยลบที่ยังกดดันปีหน้า จะเป็นปัจจัยการเมืองภายในประเทศ รองมาคือปัญหาโครงการมาบตาพุด ซึ่งยังไม่มีความชัดเจน ทำให้นักวิเคราะห์แนะนำว่า ควรระมัดระวังในการลงทุน และพิจารณาจังหวะในการเข้าลงทุนให้เหมาะสม จากที่ตลาดหุ้นจะมีความผันผวน โดยควรลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง ธุรกิจมีการเติบโตตามเศรษฐกิจไทยและต่างประเทศ และควรติดตามข่าวสารข้อมูลการลงทุนอย่างใกล้ชิด
โดยหุ้นเด่นที่แนะนำลงทุนตรงกันหลายแห่ง ปีหน้า คือ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)หรือ KBANKธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)หรือ BAYธนาคารไทยพาณิชย์จำกัด (มหาชน)หรือ SCB บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)หรือ PTTEPบริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ทิปโก้แอสฟัลท์ จำกัด (มหาชน)บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน)หรือ ADVANC