xs
xsm
sm
md
lg

ทำอย่างไรเมื่อต้องปรับพอร์ต...

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


"ถ้านักลงทุนลองนึกดูว่าถ้าเราต้องเจอกับสถานการณ์ที่ต้องปรับพอร์ตกันอยู่เรื่อย ๆ ในที่สุดแล้วการปรับพอร์ตของนักลงทุนกลับกลายเป็นการขาย “หุ้นดี” และ “เก็บหุ้นที่ไม่ดี” เอาไว้ซึ่งจะเป็นการทำลายพอร์ตโฟลิโอของนักลงทุนเองในอนาคต"
   เหตุการณ์เมื่อวันสุดสัปดาห์ที่ผ่านมานั้นน่าจะทำให้นักลงทุนหลาย ๆ ท่านเกิดความสบายใจขึ้นมาบ้าง เมื่อปรากฏว่าเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้มีเหตุการณ์รุนแรงอย่างที่หลาย ๆ คนคาดกันเอาไว้ โดยสิ่งเหล่านี้หลาย ๆ ครั้งทำให้นักลงทุนรู้สึกสับสนว่า ควรจะปรับพอร์ตของตัวเองอย่างไร  และการปรับพอร์ตจะทำให้นักลงทุนเสียโอกาสในการสร้างผลตอบแทนหรือไม่...?  แต่ถ้าไม่ทำอะไรเลยก็เกรงว่าสถานการณ์ความไม่แน่นอนต่าง ๆ จะทำให้พอร์ตของนักลงทุนเสียหาย

 สำหรับการปรับพอร์ตโฟลิโอของนักลงทุนนั้นสามารถทำได้หลายแบบ ไม่ว่าจะเป็น การเปลี่ยนสัดส่วนการถือครองเงินสด หรือการสับเปลี่ยนระหว่างหุ้นกับตราสารหนี้ เป็นต้น และแน่นอนที่สุดว่าคงไม่มี Asset Class ใดที่สร้างผลตอบแทนได้ดีที่สุดตลอดเวลา ดังนั้นหน้าที่ของนักลงทุนคือต้องพยายามดูแลพอร์ตโฟลิโอของตัวเองอยู่เสมอ
 ตัวอย่างการจัดพอ์ตโฟลิโอที่เห็นได้ชัดคือ เมื่อนักลงทุนได้รับข่าวสารที่น่าจะส่งผลต่อการลงทุนเช่น เรื่องความขัดแย้งทางการเมือง การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ซึ่งข่าวสารเหล่านี้นักลงทุนมักจะได้ยินสัญญาณล่วงหน้าก่อน ดังนั้นนักลงทุนจึงสามารถปรับพอร์ตการลงทุนของตัวเองได้ล่วงหน้า
 และจากเหตุการณ์ในช่วงวันที่ 26 ก.พ.53 ซึ่งเป็นวันตัดสินคดียึดทรัพย์ของอดีตนายกรัฐมนตรี หรือ อีกเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นคือการนัดชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ (12-14 มี.ค.53) ที่ผ่านมา ถือได้ว่าเป็นตัวอย่างที่ดีที่นักลงทุนรับรู้ข่าวล่วงหน้าและสามารถทำการ  “ปรับพอร์ตโฟลิโอ” ของตัวเองได้ก่อนเหตุการณ์จะมาถึง

 ทั้งนี้ การปรับพอร์ตของนักลงทุนนั้นโดยส่วนมาก จะเป็นช่วงที่กำลังจะเกิดเหตุการณ์ที่คาดว่าจะส่งผลลบต่อตลาดหุ้น ซึ่งทางเลือกของนักลงทุนมักจะลดสัดส่วนการถือครองหุ้นลง โดยอาจจะเปลี่ยนเป็นเงินสด หรือตราสารหนี้ก็แล้วแต่ความถนัดหรือความชอบของแต่ละคน

 อย่างไรก็ตาม สำหรับเรื่องของการปรับพอร์ตโฟลิโอนั้นเชื่อได้ว่านักลงทุนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญและมักจะทำอยู่แล้วเมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น แต่ ประเด็นสำคัญกลับอยู่ที่วิธีการปรับพอร์ตมากกว่าเนื่องจากว่าการปรับพอร์ตของนักลงทุนนั้นโดยมากแล้วมักจะ “ขาย” หุ้นที่มีกำไรออกไปก่อน  ซึ่งโดยส่วนใหญ่หุ้นเหล่านั้นมักเป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดี นักลงทุนมักไม่ยอมขายหุ้นตัวแดงของพอร์ตตัวเองซึ่งโดยมากมักเป็นหุ้นที่ไม่ได้มีผลประกอบการที่ดีนัก หลาย ๆ ครั้งเป็นหุ้นที่ถูกจัดอยู่ในประเภทเก็งกำไรซะส่วนใหญ่

 และจากสิ่งที่เราได้เล่ามานั้นอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นกับนักลงทุนทุกคน แต่เป็นเหตุการณ์ที่เราได้ยินได้ฟังจากนักลงทุนหลายครั้งนั้นคือ สถานการณ์ดังกล่าวเป็นเรื่องของจิตวิทยาการลงทุนขั้นพื้นฐานที่นักลงทุนไม่อยากขายของที่ตัวเองรู้สึกว่ากำลังขาดทุนอยู่

 ดังนั้นจึงไม่แปลกที่หลาย ๆ ครั้งนักลงทุนมักจะขายของดี และเลือกเก็บของที่อาจจะไม่ได้ดีมากนักเอาไว้ เปรียบได้กับการถอนเอาต้นไม้ออกและเก็บวัชพืชเอาไว้นั่นเอง

 นักลงทุนลองนึกดูว่าถ้าเราต้องเจอกับสถานการณ์ที่ต้องปรับพอร์ตกันอยู่เรื่อย ๆ ในที่สุดแล้วการปรับพอร์ตของนักลงทุนกลับกลายเป็นการขาย “หุ้นดี” และ “เก็บหุ้นที่ไม่ดี” เอาไว้ซึ่งจะเป็นการทำลายพอร์ตโฟลิโอของนักลงทุนเองในอนาคต

 ถ้าเช่นนั้นแล้วเราจะทำอย่างไรกับพอร์ตโฟลิโอของเรา นักลงทุนควรจะจัดการกับการปรับเปลี่ยนสัดส่วนการลงทุนในหุ้นในแต่ละเหตุการณ์อย่างไร ..?

คำตอบคือ ETF  หรือ Exchange Traded Fund สามารถช่วยในการปรับพอร์ตโฟลิโอได้ เพราะอะไรนั้น เราลองมาติดตามกัน..

 การที่นักลงทุนถือ ETF ไม่ว่าจะเป็น TDEX (ทีเด็กซ์) หรือ TFTSE (ทีฟุตซี่) นั้นหมายถึงนักลงทุนได้ซื้อหุ้นที่อ้างอิงดัชนีตลาดดังนั้นการปรับพอร์ตจึงเป็นเรื่องที่ง่าย โดยนักลงทุนสามารถเพิ่มหรือลดสัดส่วนการถือครองหุ้นโดยการซื้อหรือขาย ETF เพียงแค่ตัวเดียว ซึ่ง การลงทุนใน ETF นั้นสามารถทำให้นักลงทุนบริหารจัดการพอร์ตโฟลิโอได้อย่างมีประสิทธิภาพเนื่องจากว่าเมื่อดัชนีปรับตัวขึ้น นักลงทุนก็จะเห็นพอร์ต ETF ของตัวเองปรับขึ้นเช่นกัน  นักลงทุนจึงไม่ต้องกังวลในเรื่องของการขายขาดทุนในหุ้นบางตัว หรือการขายทำกำไรในหุ้นบางตัวอีกต่อไป

   นอกจากในเรื่องของการปรับพอร์ตโฟลิโอแล้ว การลงทุนใน TDEX หรือ TFTSE ทำให้นักลงทุนรู้  “ระดับในการปรับพอร์ตของตัวเอง”  เช่น เราอาจจะเข้าซื้อ TDEX หรือ TFTSE ช่วงดัชนี SET Index ที่ 680 ดังนั้นเราจึงตั้งเป้าหมายไว้ว่า ถ้าดัชนีอยู่ที่ 780 จุดเราจะปรับพอร์ต เป็นต้น การที่นักลงทุนตัดสินใจว่าจะปรับพอร์ตตอนดัชนีที่ 780 นั้นหมายความว่าทั้ง TDEX และ TFTSE ต่างก็เคลื่อนไหวไปในแนวเดียวกับดัชนีตลาดที่ปรับตัวขึ้น

 ในขณะที่การลงทุนในหุ้นรายตัวหลาย ๆ ครั้งการที่ดัชนีปรับตัวขึ้นไม่ได้หมายความว่าหุ้นเหล่านั้นจะปรับตัวขึ้นตาม บางครั้งอาจจะปรับตัวขึ้นมากกว่า หรืออาจจะปรับตัวตรงกันข้ามกับดัชนีก็ได้ ดังนั้นการใช้ TDEX และ TFTSE มาช่วยปรับพอร์ตให้กับนักลงทุนจึงสร้างความมีประสิทธิภาพให้กับการลงทุนของท่านได้

 โดยจะเห็นว่าทั้ง TDEX และ TFTSE ต่างก็ลงทุนในหุ้นที่มีขนาดใหญ่และมีสภาพคล่องสูงด้วยกัน การลงทุนใน TDEX นั้นเหมือนกับการซื้อหุ้น 50 หลักทรัพย์ และการซื้อ TFTSE นั้นเหมือนกับการซื้อหุ้น 30 หลักทรัพย์ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าถ้านักลงทุนนำ TDEX หรือ TFTSE มาช่วยในการปรับพอร์ตของตัวเองจะช่วยให้นักลงทุนสามารถบริหารพอร์ตโฟลิโอได้อย่างมีประสิทธิภาพ
 ที่มา: บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.)วรรณ จำกัด
กำลังโหลดความคิดเห็น