xs
xsm
sm
md
lg

ระทึก!หุ้นไทย บลจ.ตบเท้าเชื่อมั่นแต่ต่างชาติหอบเงินหนี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สถาบันกับต่างชาติเสียงแตก มองสวนทางแนวโน้มตลาดหุ้นไทยช่วงใกล้วันตัดสินยึดทรัพย์ บลจ.เอ็มเอฟซี มั่นใจไม่มีเปลี่ยนขั้วรัฐบาล แม้อยู่กันอย่างอึดอัด ลั่นถ้าหุ้นตกพร้อมช้อนเก็บเช่นเดียวกับ กบข.ที่เตรียม 6พันล้านรองรับ แต่กองทุนใหญ่จากสวิสเซอร์แลนด์ โบกมือลาแล้ว ย้ำการเมืองไทยต้องเรียบร้อยก่อน “มนตรี”เชื่อ 26ก.พ.ไร้ปัญหา พบเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้าไทยน้อยสุดในภูมิภาค ส่วนตลาดหุ้นวันนี้(25ก.พ.) โบรกฯคาดไม่เคลื่อนตัวไปไหน

นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)หรือ KEST เปิดเผยถึงสถานการณ์ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ที่จะมีการพิจารณาตัดสินคดียึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาท ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีว่า ส่วนตัวเชื่อว่าน่าจะคลี่คลายไปในทิศทางที่ดี จากที่มีกระแสรณรงค์ให้คนไทยไม่มีการแบ่งแยก และกลุ่มที่จะมีการสร้างสถานการณ์นั้นเกิดการทะเลาะกันเอง โดยนักลงทุนและประชาชนควรที่จะติดตามข่าวสารอย่างมีสติ เป็นธรรม รับฟังข้อมูลให้ครบทุกด้าน มีใจเป็นกลางมีสติในการพิจารณา

ส่วนการที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นในสัปาดห์นี้เนื่องจาก นักลงทุนสถาบันได้เข้ามาซื้อสุทธิหุ้นไทยเนื่องจาก มองว่าสถานการณ์ทางการเมืองไม่น่ากังวลจึงต้องการเข้ามาซื้อก่อนที่จะมีการพิจารณาคดี เพราะหากเข้ามาซื้อหลังจากการพิจารณาคดีแล้วอาจจะพลาดโอกาสในการลงทุนที่จะให้ผลตอบแทนที่ดี จากปัจจัยพื้นฐานของไทยในระยะยาวที่ยังดีอยู่ จากเศรษฐกิจมีการเติบโตที่ดี

กองทุนใหญ่สวิสฯโบกมือลา
ด้านความเคลื่อนไหวจากต่างประเทศ ล่าสุด นายเบิร์กฮาร์ด พี.วาร์นฮอลท์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน Bank SARASIN & Co.LTD ของสวิสเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นกองทุนลงทุนหุ้นข้ามชาติขนาดใหญ่ ที่มีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารรวม 30,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 900,000 แสนล้านบาท ประกาศเลี่ยงการลงทุนในตลาดทุนและตลาดหุ้นของไทยออกไป แม้มองว่าจะมีความน่าสนใจ ที่ควรกลับเข้ามาลงทุนก็ตาม เพราะต้องให้สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศไทยมีความเรียบร้อยก่อน และตอนนี้ก็กำลังมองหาฐานการลงทุนในที่อื่นแทน

สถาบันมั่นใจรัฐบาลไม่เปลี่ยนขั้ว
ด้านนายณรงค์ชัย อัครเศรณี ประธานกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) กล่าวบรรยายเรื่อง “ความเสี่ยงทิศทางเศรษฐกิจและการเมืองไทยปี 2553” ว่า สถานการณ์การเมืองในขณะนี้จะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนขั้วทางการเมือง หรือเกิดการปฏิวัติ เพราะทุกฝ่ายต่างอยู่ในช่วงของการสานประโยชน์ทางอำนาจ (Balance of power) แม้ว่าจะอยู่กันอย่างอึดอัดก็ตาม

“ตอนนี้เชื่อว่าจะยังไม่มีการเปลี่ยนขั้วรัฐบาล เพราะพรรคร่วมยังจับมือกันอย่างเหนียวแน่น แต่ก็อยู่ด้วยกันอย่างอึดอัด เนื่องจากไม่มีทางเลือกอื่น”นายณรงค์ชัยกล่าว

ทั้งนี้ ในส่วนของกองทัพเองมองว่ายังให้การสนับสนุนรัฐบาลเป็นอย่างดี ในขณะที่รัฐบาลเองก็ให้การสนับสนุนกองทัพเช่นกัน ดังนั้น คงไม่มีเหตุอะไรที่จะดำเนินการในลักษณะดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ในส่วนของบรรยากาศทางการเมือง จะมีความวุ่นวายอยู่ จากการที่กลุ่มเสื้อแดงที่ออกมาเรียกร้องความเป็นธรรม

ส่วนในมุนมองของเศรษฐกิจ ยอมรับว่าการเมืองยังเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญ เพราะมีผลทำให้บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นมีความผันผวน เนื่องจากนักลงทุนอ่อนไหวต่อข่าวลือต่าง ๆ ที่เข้ามากระทบ และมักจะให้ความสำคัญมากกว่าตัวเลขทางเศรษฐกิจต่างๆ ที่ออกมา อย่างไรก็ตาม ผลกระทบดังกล่าว เป็นเพียงผลกระทบระยะสั้นเท่านั้น ซึ่งส่วนตัวมองว่าปัจจัยต่างประเทศ น่าจะส่งผลกระทบต่อการลงทุนมากกว่า โดยเฉพาะผลตอบแทนที่จะได้จากการลงทุน

ขณะที่การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ เชื่อว่าจะเติบโตร้อยละ 3.5 ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) คาดการณ์ โดยให้ระวังความผันผวนของราคาน้ำมันซึ่งมีแนวโน้มสูงขึ้นแต่คงไม่สูงถึง 150 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในขณะที่อัตราแลกเปลี่ยนโดยเฉพาะค่าเงินดอลลาร์จะมีความผันผวนมาก หลังจากนักลงทุนหันมาให้ความสนใจการถือครองดอลลาร์มากขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากปัญหาหนี้สินของสถาบันการเงินในยุโรป ซึ่งความกังวลดังกล่าวกดให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นแทนที่จะอ่อนค่าลง โดยมองว่าค่าเงินบาทมีโอกาสแข็งค่าต่อเนื่องทะลุ 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐแน่นอน ส่วนอัตราดอกเบี้ยปรับขึ้นเช่นกันแต่ไม่มากเพราะปัญหาเงินเฟ้อยังอยู่ระดับปานกลางไม่สูงมากจนเป็นปัจจัยกดดันเศรษฐกิจ

กองทุนพร้อมเก็บหุ้นหากดัชนีดิ่ง
นายศุภกร สุนทรกิจ รองกรรมการผู้จัดการ บลจ.เอ็มเอฟซี เปิดเผยว่า พอร์ตการลงทุนของเอ็มเอฟซีในปัจจุบัน มีการลงทุนเต็มมูลค่าที่ 95% มาก่อนหน้านี้แล้ว โดยเน้นการซื้อขายอยู่ตลอดเวลา ซึ่งหากมีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นในวันที่ 26 ก.พ. จนฉุดให้ดัชนีร่วงลงแรง ก็พร้อมที่จะขายออกเพื่อลดสัดส่วนลงให้เหลือ 85% แล้วกลับมารับใหม่

นางสาวโสภาวดี เลิศมนัสชัย เลขาธิการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กล่าวว่า พอร์ตการลงทุนของกบข. ในขณะที่ ได้เพิ่มสัดส่วนเงินสดเป็น 2% หรือ 6,000 ล้านบาท จากเดิมที่มีการลงทุนเต็มมูลค่า ทั้งนี้ หากตลาดหุ้นปรับตัวลงแรงตามสถานการณ์ทางการเมือง ก็มองว่าจะเป็นโอกาสที่กบข.จะเข้าไปลงทุนเช่นกัน เพราะถือเป็นโอกาสดีต่อการสะสมหุ้นในราคาที่ต่ำ

ตลาดหุ้นไทยเงินต่างชาติไหลเข้าน้อย
นางกุลภัทรา สิโรดม และ น.ส.พันธิสา ภาวบุตร อาจารย์ประจำคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เสนอผลการศึกษา “Mutual Fund Flows in Asian Equity Market” ในโครงการ Capital Market Research Forum 2/2553 ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่า จากการศึกษาพบว่าหากมีเม็ดเงินไหลเข้าลงทุนประเทศจีนนั้น ส่วนใหญ่จะเกิดผลดีกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเซียให้สามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นจากที่จะมีการกระจายเม็ดเงินลงทุนในภูมิภาค รวมถึงไทยด้วย แต่เม็ดเงินที่ไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทยนั้นจะน้อยกว่าประเทศอื่น เนื่องจากตลาดหุ้นไทยมีขนาดที่เล็กและยังมีปัญหาทางเมืองที่มีความไม่แน่นอนสูง

ขณะเดียวกัน จากการศึกษาในช่วงปี 2545-2552 พบว่า เม็ดเงินกองทุนเข้าไปซื้อสุทธิใน 7 ประเทศคือ จีน ฮ่องกง อินเดีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไต้หวัน ซึ่งอินเดียมีเม็ดเงินไหลเข้าไปลงทุนมากที่สุด 4,493 ล้านเหรียญสหรัฐ รองมาคือ จีนมีมูลค่า 3,683 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่อีก 4 ประเทศมียอดขายสุทธิ คือ ญี่ปุ่น เกาหลี มาเลยเซีย และไทย ซึ่งมียอดขายสุทธิ309 ล้านเหรียญสหรัฐ

หุ้นไทยวันนี้ดัชนีไม่ไปไหนไกล
ส่วนความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทยวานนี้ (24ก.พ.) ปิดที่ 715.18 จุด ลดลง 0.40 จุด(-0.06%)มูลค่าการซื้อขาย 16,975.60 ล้านบาท นายพิชัย เลิศสุพงษ์กิจ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายการตลาด บล.ธนชาต กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ระบุตลาดหุ้นไทยวันนี้เคลื่อนไหวแบบ Sideway ส่วนใหญ่อยู่ในแดนลบตามตลาดหุ้นภูมิภาค ช่วงท้ายกลับมาบวกเป็นบางช่วง แต่ก็ปิดลดลง การซื้อขายเป็นแบบ Sideway และวันนี้(25ก.พ.)คาดว่ายังคงเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆเช่นเดิม ช่วงสั้นตลาดหุ้นยังไม่ไปไหนไกล เนื่องจากยังมีปัจจัยกดดันจากการเมืองในประเทศ

โดยเฉพาะมีความชัดเจนเรื่องกลุ่มคนเสื้อแดงที่นัดเคลื่อนพลวันที่ 12 มี.ค. และนัดชุมนุมใหญ่เช้าในวันที่ 14 มี.ค.แม้ว่านักลงทุนจะรับรู้ข่าวไปก่อนแล้วว่าจะชุมนุมเดือนมี.ค.แต่ยังกังวลว่าหากเกิดเหตุการณ์รุนแรงและยืดเยื้อจะไม่ส่งผลดีต่อตลาดหุ้น ซึ่งในช่วงสั้นก่อนการพิจารณาคดียึดทรัพย์ ตลาดหุ้นไทยคงมีการซื้อขายแบบ Sideway อย่างนี้ไปเรื่อยๆไม่ไปไหนไกล แต่ทั้งนี้ หากการชุมนุมไปได้ด้วยดีไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น เชื่อว่าตลาดหุ้นจะโตขึ้นเพราะได้รับรู้ความไม่แน่นอนทางการเมืองไปพอสมควรแล้ว โดยให้กรอบการลงทุนที่กรอบล่าง 710 และกรอบบนที่ 720 จุด

ปัจจุบัน มูลค่าซื้อขายสุทธิจากตามกลุ่มนักลงทุน 1ม.ค. -24 ก.พ.2553 พบว่า นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิถึง 5,141.93ล้านบาท เช่นเดียวกับ สถาบัน ขายสุทธิ 3,157.02 ล้านบาท และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ขายสุทธิ1,607.54 ล้านบาท มีเพียงนักลงทุนทั่วไปซื้อสุทธิ 9,906.50 ล้านบาท
กำลังโหลดความคิดเห็น