บล.ทิสโก้ ชี้ เฮดจ์ฟันด์เล็งทิ้งหุ้นทั่วโลก หลังธนาคารกลางทุกประเทศเริ่มดึงเม็ดเงินอัดฉีดกลับหลังหนี้สาธารณะโต และขาดดุลการคลังเป็นจำนวนมาก คาดปีนี้ต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 5 หมื่นล้านบาท “วิวัฒน์”เผย ดัชนีปีนี้แตะจุดสูงสุดไปแล้วเมื่อม.ค.ที่ผ่านมา เชื่อจากนี้เป็นขาลง แต่ปรับตัวเพิ่มขึ้นระยะสั้นได้อีก 2 ครั้ง คือมี.ค. และ ธ.ค. ส่วนจุดต่ำสุดอยู่ช่วงก.ย.ที่ 550 จุด แนะนำนักลงทุนจับจังหวะการลงทุนเหมาะสมถึงจะได้รับตอบแทนดี ขณะที่แนวโน้มดัชนีวันนี้(5ก.พ.)ก็ยังลงต่อ
นายวิวัฒน์ เตชะพูลผล หัวหน้ากลยุทธ์การลงทุนและผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและลูกค้าส่วนบุคคล บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้ได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้วเมื่อช่วงกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา ที่ระดับ 750 จุด ซึ่งจากนี้ตลาดหุ้นไทยจะเป็นทิศทางปรับตัวลดลง แต่เป็นการปรับตัวลดลงทั่วโลก เนื่องจาก ธนาคารกลางของทุกประเทศจะหยุดอัดฉีดเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจและดึงม็ดเงินกลับจากที่ปัจจุบันมีหนี้สาธารณะต่อจีดีปีจำนวนมาก และมีการขาดดุลการคลังที่สูง จึงทำให้ กองทุนเก็งกำไรระยะสั้น (เฮดจ์ฟันด์)จะมีการขายหุ้นออกมา เพื่อถือเงินสด รวมถึงปีที่ผ่านมาดัชนีได้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงถึง 88% จึงมีการขายทำกำไรออกมา ทำให้คาดว่าปีนี้นักลงุทนต่างประเทศจะมีการขายสุทธิ 50 ,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ดัชนีจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นระยะสั้นในช่วง มีนาคม ซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 720 จุด เพื่อรับข่าวการจ่ายเงินปันผลของบริษัทจดทะเบียน แต่หลังจากเดือนมีนาคมหุ้นจะลงอีก 7 เดือน เนื่องจาก ทิศทางอัตราดอกเบี้ยจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเพื่อป้องกันเงินเฟ้อมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยจะเห็นประเทศในเอเซียจะเริ่มขึ้นดอกเบี้ยก่อนประมาณเดือนเม.ย.-พ.ค. จึงคาดว่าดัชนีต่ำสุดปีนี้อยู่ในสิงหาคม ถึง กันยายน อยู่ที่ จุด 550 จุด และจะกลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกครั้งในช่วงธันวาคม เพราะ รับข่าวดีจากภาพรวมเศรษฐกิจที่มีการฟื้นตัว
“ปีนี้จะแปลก คือ เศรษฐกิจฟื้นตัวดี บจ.มีการจ่ายเงินปันผลเยอะ แต่หุ้นตก เพราะ ธนาคารทุกประเทศออกนโยบายดึงเงินกลับหลังจากปีที่ผ่านมาได้มีการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบจำนวนมากเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อให้มีการลงทุนในธุรกิจ แต่ไม่สามารถนำไปลงทุนได้ จึงนำเงินไปลงทุน หุ้น ทองคำ น้ำมันฯลฯ แต่จากที่ปัจจุบันหนี้สาธารณของทุกประเทศมีสูงขึ้นและมีการขาดทุนการคลังจึงต้องดึงเงินกับทำให้เฮดจ์ฟันด์ต่างๆมีการขายหุ้นออกมาเพื่อถือเงินสด ส่วนประเด็นการเมืองนั้นมีผลกระทบน้อยต่อตลาดหุ้นไทยปีนี้”นายวิวัฒน์ กล่าว
สำหรับการลงทุนในปีนี้ นักลงทุนจะต้องลงทุนในจังหวะที่เหมาะสมถึงจะได้รับผลตอบแทนที่ดี ไม่ใช่ประเด็นในการเลือกหุ้นในการลงทุน จากทิศทางตลาดหุ้นจะมีการปรับตัวลดลงนั้น บริษัทแนะนำให้นักลงทุนมีการขายหุ้นออกมาก่อนในช่วงนี้ เพื่อไปเตรียมช้อนซื้อหุ้นวันที่ 22-26 กุมภาพันธ์ ซึ่งคาดว่าดัชนีจะปรับตัวลดลงอยู่ที่ระดับ 660-680 จุด จากที่จะมีการตัดสินคดียึดทรัพย์อดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อรอไปขายในเดือนหน้า
นายวิวัฒน์ กล่าวว่า บริษัทคาดว่าผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นปีนี้จะอยู่ที่ 5% เป็นทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นเอเซียและประเทศเกิดใหม่ ขณะที่ผลตอบแทนตลดาหุ้นสหรัฐและยุโรป จะอยู่ที่ 5-10% ในปีนี้ และคาดว่าบจ.ปีนี้จะเติบโตของกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 14-15% ส่วนเศรษฐกิจในปีนี้คาดว่าจะโต 3.9% จากปีก่อนที่ลบ 3% และคาดธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)จะมีการขึ้นดอกเบี้ยปีนี้ 1% ทำให้อัตราดอกเบี้ยสิ้นปีอยี่ 2.25% คาดว่าจะเริ่มขึ้นในเดือนพฤษภาคม0.25% ก่อน โดยคาดว่าเศรษฐกิจโลกปีนี้จะโต 3.9% จากปีก่อนที่ติดลบ 1.1%
สำหรับประเด็นที่นักลงทุนจะต้องมีการติดตามคือการยกเลิกและผ่อนคลายนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ความมั่นคงของฐานะการเงินของประเทศต่างๆจากปัจจุบันที่มีระดับภาระหนี้ที่สูง โดยเฉพาะประเทศในกลุ่มยุโรป ซึ่งจะทำให้ถูกปรับลดอันดับเครดิตของประเทศในการระดมทุนผ่านตราสารหนี้ ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนในประเทศแถบเอเชีย เสถียรภาพของรัฐบาลไทย ซึ่งอาจส่งผลกระทต่อการเบิกจ่ายงบประมาณตามแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ และความล่าช้าในการแก้ไขปัญหามาบตาพุด
**ตลาดหุ้นไทยวันนี้ส่อลดลงต่อ
ด้านความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทยวานนี้ (4ก.พ.) ปิดที่ระดับ 702.52 จุด ลดลง 5.13 จุด หรือ 0.72% มูลค่าการซื้อขาย 14,380.59 ล้านบาท ภาพรวมเป็นการปรับฐาน รับแรงขายทำกำไร หลังภาวะการลงทุนทั่วเอเชีย-ยุโรปไม่ค่อยเอื้อ โดยตลาดภูมิภาคปรับตัวลงเฉลี่ย 1% จากแรงขายทำกำไรออกมาค่อนข้างหนาแน่น ทั้งนี้ระหว่างวันดัชนีแตะจุดสูงสุดที่ 708.51 จุด ส่วนดัชนีจุดต่ำสุดที่ 702.01 จุด
น.ส.มยุรี โชวิกรานต์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับฐานลงหลังจากที่เมื่อวานนี้ได้ขึ้นไป 11 จุดกว่า ๆ ซึ่งตลาดหุ้นรับแรงขายทำกำไรออกมา ขณะเดียวกันในช่วงบ่ายวานนี้ภาวะการลงทุนทั่วเอเชีย และยุโรปดูไม่ค่อยเอื้อ โดยตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียปรับตัวลงเฉลี่ย 1% เพราะมีแรงขายทำกำไรกันออกมาค่อนข้างหนาแน่น
ล่าสุดทางมูดี้ส์ฯออกมาพูดว่ากำลังพิจารณา rating ของสหรัฐฯ ทำให้เป็นแรงกดดันให้ดาวโจนส์ฟิวเจอร์ปรับตัวลง และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯเวลานี้เริ่มกลับมาแข็งค่าขึ้นอีกแล้ว ซึ่ง Sentiment โดยรวมในวันนี้ดูไม่ค่อยจะดีนัก สำหรับปัจจัยการเมืองยังคงกดดันตลาดฯต่อไป
ดังนั้น แนวโน้มการลงทุนในวันนี้(5 ก.พ.) ตลาดฯคงจะอ่อนตัวลงต่อ ซึ่งคนคงจะรอดูตัวเลขการว่างงานของสหรัฐฯที่จะประกาศในคืนวันพรุ่งนี้ พร้อมให้แนวรับไว้ที่ 700, 695, 690 จุด แนวต้าน 705, 710 จุด
นายวิวัฒน์ เตชะพูลผล หัวหน้ากลยุทธ์การลงทุนและผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและลูกค้าส่วนบุคคล บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้ได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้วเมื่อช่วงกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา ที่ระดับ 750 จุด ซึ่งจากนี้ตลาดหุ้นไทยจะเป็นทิศทางปรับตัวลดลง แต่เป็นการปรับตัวลดลงทั่วโลก เนื่องจาก ธนาคารกลางของทุกประเทศจะหยุดอัดฉีดเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจและดึงม็ดเงินกลับจากที่ปัจจุบันมีหนี้สาธารณะต่อจีดีปีจำนวนมาก และมีการขาดดุลการคลังที่สูง จึงทำให้ กองทุนเก็งกำไรระยะสั้น (เฮดจ์ฟันด์)จะมีการขายหุ้นออกมา เพื่อถือเงินสด รวมถึงปีที่ผ่านมาดัชนีได้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงถึง 88% จึงมีการขายทำกำไรออกมา ทำให้คาดว่าปีนี้นักลงุทนต่างประเทศจะมีการขายสุทธิ 50 ,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ดัชนีจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นระยะสั้นในช่วง มีนาคม ซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 720 จุด เพื่อรับข่าวการจ่ายเงินปันผลของบริษัทจดทะเบียน แต่หลังจากเดือนมีนาคมหุ้นจะลงอีก 7 เดือน เนื่องจาก ทิศทางอัตราดอกเบี้ยจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเพื่อป้องกันเงินเฟ้อมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยจะเห็นประเทศในเอเซียจะเริ่มขึ้นดอกเบี้ยก่อนประมาณเดือนเม.ย.-พ.ค. จึงคาดว่าดัชนีต่ำสุดปีนี้อยู่ในสิงหาคม ถึง กันยายน อยู่ที่ จุด 550 จุด และจะกลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกครั้งในช่วงธันวาคม เพราะ รับข่าวดีจากภาพรวมเศรษฐกิจที่มีการฟื้นตัว
“ปีนี้จะแปลก คือ เศรษฐกิจฟื้นตัวดี บจ.มีการจ่ายเงินปันผลเยอะ แต่หุ้นตก เพราะ ธนาคารทุกประเทศออกนโยบายดึงเงินกลับหลังจากปีที่ผ่านมาได้มีการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบจำนวนมากเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อให้มีการลงทุนในธุรกิจ แต่ไม่สามารถนำไปลงทุนได้ จึงนำเงินไปลงทุน หุ้น ทองคำ น้ำมันฯลฯ แต่จากที่ปัจจุบันหนี้สาธารณของทุกประเทศมีสูงขึ้นและมีการขาดทุนการคลังจึงต้องดึงเงินกับทำให้เฮดจ์ฟันด์ต่างๆมีการขายหุ้นออกมาเพื่อถือเงินสด ส่วนประเด็นการเมืองนั้นมีผลกระทบน้อยต่อตลาดหุ้นไทยปีนี้”นายวิวัฒน์ กล่าว
สำหรับการลงทุนในปีนี้ นักลงทุนจะต้องลงทุนในจังหวะที่เหมาะสมถึงจะได้รับผลตอบแทนที่ดี ไม่ใช่ประเด็นในการเลือกหุ้นในการลงทุน จากทิศทางตลาดหุ้นจะมีการปรับตัวลดลงนั้น บริษัทแนะนำให้นักลงทุนมีการขายหุ้นออกมาก่อนในช่วงนี้ เพื่อไปเตรียมช้อนซื้อหุ้นวันที่ 22-26 กุมภาพันธ์ ซึ่งคาดว่าดัชนีจะปรับตัวลดลงอยู่ที่ระดับ 660-680 จุด จากที่จะมีการตัดสินคดียึดทรัพย์อดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อรอไปขายในเดือนหน้า
นายวิวัฒน์ กล่าวว่า บริษัทคาดว่าผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นปีนี้จะอยู่ที่ 5% เป็นทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นเอเซียและประเทศเกิดใหม่ ขณะที่ผลตอบแทนตลดาหุ้นสหรัฐและยุโรป จะอยู่ที่ 5-10% ในปีนี้ และคาดว่าบจ.ปีนี้จะเติบโตของกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 14-15% ส่วนเศรษฐกิจในปีนี้คาดว่าจะโต 3.9% จากปีก่อนที่ลบ 3% และคาดธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)จะมีการขึ้นดอกเบี้ยปีนี้ 1% ทำให้อัตราดอกเบี้ยสิ้นปีอยี่ 2.25% คาดว่าจะเริ่มขึ้นในเดือนพฤษภาคม0.25% ก่อน โดยคาดว่าเศรษฐกิจโลกปีนี้จะโต 3.9% จากปีก่อนที่ติดลบ 1.1%
สำหรับประเด็นที่นักลงทุนจะต้องมีการติดตามคือการยกเลิกและผ่อนคลายนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ความมั่นคงของฐานะการเงินของประเทศต่างๆจากปัจจุบันที่มีระดับภาระหนี้ที่สูง โดยเฉพาะประเทศในกลุ่มยุโรป ซึ่งจะทำให้ถูกปรับลดอันดับเครดิตของประเทศในการระดมทุนผ่านตราสารหนี้ ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนในประเทศแถบเอเชีย เสถียรภาพของรัฐบาลไทย ซึ่งอาจส่งผลกระทต่อการเบิกจ่ายงบประมาณตามแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ และความล่าช้าในการแก้ไขปัญหามาบตาพุด
**ตลาดหุ้นไทยวันนี้ส่อลดลงต่อ
ด้านความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทยวานนี้ (4ก.พ.) ปิดที่ระดับ 702.52 จุด ลดลง 5.13 จุด หรือ 0.72% มูลค่าการซื้อขาย 14,380.59 ล้านบาท ภาพรวมเป็นการปรับฐาน รับแรงขายทำกำไร หลังภาวะการลงทุนทั่วเอเชีย-ยุโรปไม่ค่อยเอื้อ โดยตลาดภูมิภาคปรับตัวลงเฉลี่ย 1% จากแรงขายทำกำไรออกมาค่อนข้างหนาแน่น ทั้งนี้ระหว่างวันดัชนีแตะจุดสูงสุดที่ 708.51 จุด ส่วนดัชนีจุดต่ำสุดที่ 702.01 จุด
น.ส.มยุรี โชวิกรานต์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับฐานลงหลังจากที่เมื่อวานนี้ได้ขึ้นไป 11 จุดกว่า ๆ ซึ่งตลาดหุ้นรับแรงขายทำกำไรออกมา ขณะเดียวกันในช่วงบ่ายวานนี้ภาวะการลงทุนทั่วเอเชีย และยุโรปดูไม่ค่อยเอื้อ โดยตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียปรับตัวลงเฉลี่ย 1% เพราะมีแรงขายทำกำไรกันออกมาค่อนข้างหนาแน่น
ล่าสุดทางมูดี้ส์ฯออกมาพูดว่ากำลังพิจารณา rating ของสหรัฐฯ ทำให้เป็นแรงกดดันให้ดาวโจนส์ฟิวเจอร์ปรับตัวลง และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯเวลานี้เริ่มกลับมาแข็งค่าขึ้นอีกแล้ว ซึ่ง Sentiment โดยรวมในวันนี้ดูไม่ค่อยจะดีนัก สำหรับปัจจัยการเมืองยังคงกดดันตลาดฯต่อไป
ดังนั้น แนวโน้มการลงทุนในวันนี้(5 ก.พ.) ตลาดฯคงจะอ่อนตัวลงต่อ ซึ่งคนคงจะรอดูตัวเลขการว่างงานของสหรัฐฯที่จะประกาศในคืนวันพรุ่งนี้ พร้อมให้แนวรับไว้ที่ 700, 695, 690 จุด แนวต้าน 705, 710 จุด