xs
xsm
sm
md
lg

ศก.ไทยปี 53 โตเต็มที่ 4% คนหุ้นสั่งจับตาดอลล์อ่อนดันน้ำมันพุ่ง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

วงการตลาดทุน เชื่อปีหน้าเศรษฐกิจไทยฟื้นตัว 3.3 -4% จากยอดส่งออกและเม็ดเงินลงทุนภาครัฐ แต่ต้องติดตามครึ่งปีหลังเพื่อวัดผลพิษวิกฤตเศรษฐกิจยังอยู่หรือหมดแล้ว หลังรัฐบาลและธนาคารกลางประเทศต่างๆเริ่มดึงเงินออกจากระบบ ชี้ดอลลาร์อ่อนค่าฉุดราคาน้ำมัน ทองคำพุ่งเกินเหตุและมีความผันผวนสูง อาจแตะ 100 เหรียญ/บาร์เรลได้ ส่วนอนาคตอีก 4-5 ปีข้างหน้ายังต้องติดดูความแข็งแกร่งของแต่ละรัฐบาลหลังรับซื้อตราสารเน่าไว้เยอะ ว่าจะล้มหรือพยุงตัวรอดพ้นความเสี่ยงที่รออยู่

นายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์(บล.) ภัทร จำกัด (มหาชน) กล่าวในงานเสวนาเรื่อง “แนวโน้มสภาวะเศรษฐกิจไทย ปี 2553 ซึ่งจัดขึ้นโดย บริษัท เอสซีจี พลาสติก จำกัด ว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในรอบนี้ โตจากการอัดฉีดเงินของรัฐบาล และธนาคารกลางของแต่ละประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯ และยุโรป ซึ่งตอนนี้สหรัฐฯขาดดุลงบประมาณถึง 10% ของจีดีพี และธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้เร่งการปล่อยกู้ และรับซื้อตราสารหนี้เสียเอาไว้เกือบ 2 ล้านล้านเหรียญ รวมเม็ดเงินทั้งรัฐบาลและเฟดครั้งนี้คิดเป็น 1 ใน 4 ของจีดีพี ดังนั้นในปีหน้าจะเป็นปีที่รัฐบาลและเฟดค่อยๆ ทยอยดึงกลับ เพื่อป้องกันภาวะเงินเฟ้อ ทำให้เราต้องคอยติดตามดูภาคเอกชนจะสามารถยืนหยัดได้ด้วยตัวเองหรือไม่

ปัญหาอีกประการหนึ่ง คือ บรรดาธนาคารพาณิชย์ต่างๆ ยังไม่ยอมปล่อยกู้ให้ภาคเอกชน เหมือนที่ผ่านมาเช่นปี 2540 การฟื้นตัวของธนาคารพาณิชย์ไทย กว่าจะปล่อยสินเชื่อให้เอกชนอย่างเต็มระบบต้องใช้เวลาถึง 10 ปี โดยจุดนี้หลายคนกังวลว่าจะไม่มีการปล่อยสินเชื่อออกมามากนัก ทำให้เศรษฐกิจโลกในปีหน้าไม่สามารถกระเตื้องได้เท่าที่ควร

ขณะที่ประเทศในเอเชียที่มีนโยบายทุนสำรองระหว่างประเทศผูกกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ กำลังทำให้เกิดภาวะฟองสบู่ในจีน เมื่อเงินหยวนอ่อนค่าลงอย่างมาก ทั้งนี้ในปีหน้า เชื่อว่าจีน เวียดนาม สิงคโปร์จะเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่ถ้าเรื่องนี้สะดุด ประเทศไทยจะได้รับผลกระทบจากปัญหาดังกล่าวด้วย รวมถึงต้องระวังความผันผวนของค่าเงินดอลลาร์ ราคาทองคำ และน้ำมันไว้ให้ดี

“ปี 2553 เศรษฐกิจไทยจะค่อยๆฟื้นตัวดีขึ้นในครึ่งปีแรก แต่ครึ่งปีหลังต้องรอดูก่อน โดยคาดว่าจะอยู่ที่ 3.5% ซึ่งมากจากการส่งออกที่เริ่มดีขึ้น และการใช้จ่ายของภาครัฐ โดยจะทำให้ขาดดุลงบประมาณ 7% ของจีดีพี ส่วนภาคเอกชนเองจะมีการลงทุนมากขึ้น แต่ต้องขึ้นอยู่กับการแก้ปัญหานิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด และปัญหาทางการเมืองภายในประเทศ เพราะเป็นปัจจัยที่ฉุดยอดการใช้จ่ายในประเทศให้หดตัวลงมาก”

ทั้งนี้ สิ่งกังวลมากที่สุดในอนาคตคือ ช่วง 4-5 ปีข้างหน้าหลังรัฐบาลและธนาคารกลางในหลายประเทศรับซื้อตราสารหนี้ที่ไม่มีคุณภาพเข้ามาเป็นจำนวนมาก จะสามารถพยุงตัวเองให้รอดได้หรือเปล่า ถ้าไม่ก็จะมีปัญหาความเสี่ยงของภาครัฐตามมาสร้างปัญหาอีกครั้ง จึงมองว่าอีก3ปีข้างหน้าหนี้สาธารณะของไทยจะอยู่ที่ 60%ของจีดีพีรวมถึงปัญหาราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นช่วงนี้ เกิดจากการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้นถ้าเฟด บริหารความน่าเชื่อถือของค่าเงินดังกล่าวไม่ดี ก็มีโอกาสเห็นราคาน้ำมันกลับขึ้นไปแตะ 100 เหรียญ/บาร์เรล

สำหรับอัตราดอกเบี้ยนั้นมองว่าในปี 2553 ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)จะยังไม่ปรับขึ้นทันทีทันใด เพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยจะปรับขึ้นอีกครั้งในช่วงไตรมาสสุดท้ายปีหน้าประมาณ 0.25 บาท

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ โฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวว่า สิ่งที่จะต้องจับตาในปี 2553 คือ 1.ประเทศคู่ค้าของไทยมีการฟื้นตัวหรือไม่ เพราะสหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่นจะฟื้นตัวได้ช้ากว่า 2.การใช้จ่ายภายในประเทศจะเพิ่มขึ้นแค่ไหน ภาครัฐจะเบิกจ่ายเท่าไร และ 3.การฟื้นตัวของการบริโภคและการลงทุนของเอกชนจะเป็นไปในทิศทางใด เพราะความจริงเอกชนจะมีส่วนสำคัญในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจระยะยาวมากกว่าภาครัฐ

"สิ่งที่สำคัญคือราคาน้ำมันในปี 53 ที่น่าจะปรับตัวสูงมากประมาณ 85 เหรียญ/บาร์เรล ตามแรงเก็งกำไรในหุ้น และสินค้าโภคภัณฑ์อย่างน้ำมัน ทองคำ สินค้าเกษตร ที่มีเม็ดเงินไหลมาจากสภาพคล่องในระบบที่เอ่อล้น ซึ่งจุดนี้ประเมินว่าเมื่อเศรษฐกิจเอเชียฟื้น บรรดากองทุนเฮดจ์ฟันด์ก็จะกลับมาลงทุน ทำให้มีเม็ดเงินไหลเข้าในภูมิภาคนี้มาก จึงต้องระวังให้ดี โดยคาดว่าจีดีพีของไทยในปีหน้าจะอยู่ที่ 3.3% แต่ก็มีความเสี่ยงสูง และปี 2556 หนี้สาธารณะจะอยู่ที่ 60%ของจีดีพี"

ด้านนายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าเศรษฐกิจโลกมีการฟื้นตัวไปในทิศทางที่ชัดเจน ทำให้เชื่อว่าไตรมาส4ปีนี้ของไทยจะกลับมาเป็นบวกแน่ และต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาสและไตรมาส2ปี 2553ส่วนอัตราดอกเบี้ยจะยังอยู่ในระดับที่ต่ำต่อไป ภาพรวมเชื่อว่าปีหน้าจีดีพีจะอยู่ที่ 4%

ขณะที่สิ่งที่ควรจับตาอย่างใกล้ชิด คือการอ่อนตัวของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ และราคาหุ้น รวมถึงสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวเพิ่มจากปัจจัยภาวะเงินเฟ้อที่จะผลักดันให้ราคาเหล่านี้สูงขึ้น ส่วนค่าเงินบาทปีหน้าก็มีโอกาสได้เห็น 32 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

“ในตลาดหุ้นตอนนี้ก็จ้องจับตาดูการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง เพราะสร้างความกังวลต่อนักลงทุน ส่วนตัวมองว่าจุดนี้อาจจะทำให้เชียงใหม่เสียผลประโยชน์ด้านการท่องเที่ยวได้ เศรษฐกิจของไทยจะดีขึ้นหรือไม่นั้น ไม่ได้อยู่ที่คนเพียงคนเดียว ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน จุดอ่อนที่สำคัญของคนไทยคือความกลัว หากแก้ไขในเรื่องนี้ได้ก็มีความแข็งแกร่งกลับมาช่วยผลักดันตลาด”
กำลังโหลดความคิดเห็น