xs
xsm
sm
md
lg

คาด"การเมือง"ยังกดดันหุ้นต่อ KTAMชูกลุ่มอสังหาฯ-ICTน่าลงทุน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บลจ.กรุงไทย ประเมิน ไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ตลาดหุ้นไทยยังคงผันผวน เเต่น้อยกว่าต้นปีที่ผ่านมา พร้อมชูหุ้นกลุ่ม "พัฒนาอสังหา เเละICT" น่าลงทุน
รายงานข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงภาวะการลงทุนตราสารทุนไตรมาส 4 ว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์จะลดความผันผวนลงเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงก่อนหน้า

ซึ่งเป็นช่วงที่นักลงทุนเชื่อว่าวิกฤติเศรษฐกิจโลกได้ผ่านช่วงเลวร้ายที่สุดมาเเล้ว โดยคาดว่าในระยะสามเดือนสุดท้ายของปี ดัชนีตลาดหลักทรัพย์น่าจะสามารถปรับตัวขึ้นได้เล็กน้อย สลับกับเเรงเทขายทำกำไรเป็นระยะๆ
ในขณะที่สัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเเละผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน ยังมีความเปราะบางอยู่ นอกจากนี้ปัจจัยสำคัญซึ่งคาดว่าจะมีบทบาทต่อภาวะการลงทุนในไตรมาสนี้ ได้เเก่ เเนวโน้มของค่าเงินดอลลาร์วสหรัฐฯ เเละการยุติการอัดฉีดเม็ดเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารกลาง (Exit Strategy) ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อภาวะการลงทุนของสินทรัพย์ทุกประเภท
ทั้งนี้ KTAM คาดว่าเป้าหมายของดัชนีตลาดหลักทรัพย์เเห่งประเทศไทยสิ้นสุดปี 2552 จะอยู่ที่ระดับประมาณ 740 จุด (PER ปี 2552 ที่ระดับประมาณ 12x) สำหรับในปี 2553 คาดว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์จะเเกว่งตัวในกรอบ 677-800 จุด ( PER เท่ากับ ปี 2553 ที่ระดับประมาณ 11-13x)

สำหรับปัจจัยบวกที่สำคัญคือ เเนวโน้มการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวเเละอาจผ้านพ้นจุดต่ำสุดไปเเล้ว เเละสภาพคล่องทางการเงินที่มีอยู่มาก รวมถึงการอ่อนค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ
ขณะที่ปัจจัยลบที่ยังต้องติดตามคือ ตลาดมีความเสี่ยงจากเเรงขายทำกำไร ภายหลังจากการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องในรอบหกเดือนที่ผ่านมา พร้อมทั้งความเสี่ยงด้านกฎระเบียบภาครัฐ (Regulatory Risk) ที่ยังมีความไม่เเน่นอนอันเกิดจากระเบียยภาครัฐ ที่อาจกระทบต่อกลุ่มอุตสหกรรมสำคัญของประเทศ (กรณีศาลปกครองกลางมีคำสั่งระงับการก่อสร้างชั่วคราว 76 โครงการ ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด เเละกรณีการประมูลคลื่น 3G)

ส่วนความขัดเเย้งการทางการเมืองภายในประเทศทั้งระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลเเละฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง เเละเเนวโน้มการควบคุมภาคธุรกิจการเงินของสหรัฐ ซึ่งอาจส่งผลต่อภาวะการเกร็งกำไรในสินทรัพย์เสี่ยง
สำหรับกลยุทธการลงทุนในช่วง1-3 เดือนข้างหน้านี้ ควรลงทุนในหุ้นกลุ่มอุตสากรรมที่ได้รับประโยชน์จากเเนวโน้มฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจเช่น กลุ่มทรัพยากร เเละกลุ่มการเงิน พร้อมทั้งเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นที่ได้ประโยชน์การฟื้นตัวของการบริโภคภายในประเทศ เเละจากนโยบายรัฐบาล เช่น

 กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เเละกลุ่มเทคโนโลยี หรือ  ICT รวมถึงราคาหุ้นมีการปรับตัวมาอย่างมาก ในช่วงระยะเวลาอันสั้นส่งผลให้หุ้นบางตัวมีราคาที่สูงกว่ามูลค่าตามปัจจัยพื้นฐาน ดังนั้นจะทยอยปรับลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นที่ราคาปรับตัวขึ้นมาโดยไม่สอดคล้องกับมูลค่าตามปัจจัยพื้นฐานเเละเเนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัท
รายงานข่าวยังระบุอีกว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงถัดไปน่าจะถูกขับเคลื่นได้ด้วบเเรงกระตุ้นภาครัฐเเละการฟื้นตัวของเศรษฐกิขในภูมิภาคเอเชียเป็นหลัก เเต่ความล่าช้าในการเบิกจ่ายภายในโครงการไทยเข้มเเข็งเเละการที่เศรษฐกิจจีนอาจจะชะลอคตัวลงไปบ้าง อาจทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจในไตรมาสสุดท้ายของปีอาจไม่ได้ขยายตัวได้รวดเร็วดังที่เกิดขึ้นกับไตรมาสที่ 2
โดยรวมเเล้ว KTAM ประเมินว่าการฟื้นตัวจะเป็นไปอย่างช้าๆโดยยังคงคาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2552 จะหดตัวลงประมาณ 3.6% เเต่ไม่ได้มีการปรับประมาณการ การเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2553 ขยายตัว 3.5% จากการขยายตัวของเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียเเละการฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศเป็นสำคัญ
เเต่อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจไทยยังคงต้องเผชิญกับปัจจัยลบต่างๆเช่น เศรษฐกิจโลกซบเซา ค่าเงินบาทจะมีเเนวโน้มเเข็งค่า เเละเสถียรภาพทางการเมือง เป็นต้น ทั้งนี้ที่มีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวอย่างชัดเจนในปีหน้า ทำให้ธนาคารเเห่งประเทศไทย (ธปท.) น่าจะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นประมาณช่วงกลางปี เพื่อป้องกันปัญหาเงินเฟ้อในระยะยาว ทำให้ดอกเบี้ยในปีหน้าจะอยู่ในช่วงขาขึ้น
กำลังโหลดความคิดเห็น