"บลจ.ยูโอบี" ประกาศเดินทัพปีเสือ ตั้งเป้า AUM โต 26,000 ล้านบาท หรือ 50% เตรียมออกกองทุนหลากหลายทั้งในและต่างประเทศ "ชี้" หากมีปัจจัยกดหุ้นไทยร่วงให้ถือเป็นโอกาศที่ดี โดยทางบลจ.เตรียมเงินสดไว้ช้อนเช่นกัน คาดหุ้นไทยทั้งปีน่าจะขึ้นได้ 15-20%
นายวนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี (ไทย) จำกัด กล่าวถึงแผนงานของ บลจ.ยูโอบี ในปี 2553 ว่า ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าการเติบโตของสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM ) เพิ่มขึ้น 26,0000 ล้านบาทหรือคิดเป็น 50% โดยรวมสิ้นปี 2553 น่าจะเติบโตอยู่ที่ 81,0000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับในปี 2552 ที่ผ่านมาซึ่ง เอยูเอ็ม ทั้งหมดอยู่ที่ 54,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ จากการที่เศรษฐกิจได้ฟื้นตัวทางบริษัทจึงมีเป้าหมายที่จะดึง เอยูเอ็ม ที่หายไปกลับคืนมาโดยจะออกกองทุนที่มีความหลากหลายมากขึ้น ซึ่งทั้งปีจะมีกองทุนที่ออกทั้งหมดประมาณ 15 กองทุนทั้งกองทุนที่ลงทุนในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรก จะมีกองทุนที่จะออกใหม่จำนวน 9 กองทุน ได้แก่ กองทุนที่ตั้งเป้าหมายผลตอบแทน (Target Fund) 2 กองทุน กองทุนหุ้นที่ลงทุนในประเทศและต่างประเทศ 2 กองทุน และกองทุนอื่นๆ ที่ไม่รวมกองทุนพันธบัตรประเทศเกาหลีใต้ อีก 4 กองทุน
โดยกองทุนประเภทที่มีความเสี่ยงตํ่านั้น ส่วนใหญ่จะเป็นกองทุนที่ลงทุนในพันธบัตรเกาหลีใต้ซึ่งจะออกมาอย่างต่อเนื่องหากผลตอบแทนยังคงน่าสนใจอยู่ รวมไปถึงกองทุนราสารหนี้ระยะสั้นซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ กองทุนที่มีการจ่ายเงินปันและไม่มีการจ่ายเงินปันผล ขณะที่กองทุนที่มีความเสี่ยงสูงนั้นทางบริษัท จะมุ่งเน้นไปที่ะตลาดหุ้นในส่วนที่ทได้รับผลดีจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว โดยเลือกตลาดหุ้นในประเทศที่มีความน่าสนใจรวมไปถึงอุตสาหกรรมที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง รวมไปถึง การออกกองทุนเปิด ยูโอบี ซูปเปอร์ สไตรค์ ซึ่งเป็นกองทุนที่ตั้งเป้าหมายผลตอบแทน ทั้งในและต่างประเทศ และการออกองทุน RMF ที่มีความหลากหลายมากขึ้น
"ในปีนี้เราจะเน้นเชิงรุกมากขึ้นด้วยการออกกองทุนที่หลากหลายมากขึ้นเพื่อเป็นทางเลือกให้แก่นักลงทุน" นายวนา กล่าว
สำหรับในปี 2552 ที่ผ่านมา AUM ของ บลจ.ยูโอบีได้ลดลงประมาณ 9 พันล้านบาทแต่ยังเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละ 22.49% นับตั้งแต่ปี 2545 - 2552 ซึ่งในปี 2552 ที่ผ่านมาบริษัทไม่ได้ออกกองทุนพันธบัตรเกาหลีใต้ได้มากนั้นเนื่องจากทางบริษัทได้เน้นความปลอดภัยในการลงทุนเป็นหลักจึงได้ตั้งเกณฑ์การลงทุนตราสารหนี้ต่างประเทศไว้ที่อันดับควาน่าเชื่อถือ AA- ขึ้นไปซึ่งถือว่าสูงมาก ดังนั้นจึงไม่ได้ออกกองทุนเกาหลีใต้เพราะมีอันดับความน่าเชื่อถือที่ A ในขณะนั้น อย่างไรก็ตามเมื่อเศรษฐกิจมีการฟื้นตัวจึงได้ลดหย่อนเกณฑ์การลงทุนและออกกองทุนเกาหลีใต้ในเวลาต่อมา
นายวนา กล่าวต่อว่า สถานการณ์การเมืองในไทยช่วงก่อนวันที่ 26 ก.พ. 2553 นั้น ทางยูโอบีแม่ในสิงคโปร์ได้ให้บริษัทเตรียมความพร้อมเพื่อปฏิบัติงานได้ในภาวะฉุกเฉินซึ่งหากเกิดอะไรขึ้นมาก็สามารถปฏิบัติงานได้ทันที โดยบริษัทได้มีออฟฟิศสำรองอยู่ที่แจ้งวัฒนะเพื่อรองรับหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นก็สามารถทำงานได้ต่อเนื่อง พร้อมกันนี้ก็ได้รายงานข้อมูลการซื้อขายของกองทุนต่างๆ ไปให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ กำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ทราบทุกวันซึ่งในช่วงนี้ ซึ่งยังไม่พบการไถ่ถอนหน่วยลงทุนที่ผิดปกติแต่ประการใด โดยบริษัทมีการเตรียมพร้อมในเรื่องดังกล่าวนี้อยู่แล้ว ส่วนประเด็นอื่นๆ ทางบริษัทแม่ไม่ได้ให้นโยบายอะไรมาเป็นพิเศษ
ขณะเดียวกันโดยส่วนตัวมองว่าหากจะมีเหตุการณ์ใดในช่วงเวลาดังกล่าวนี้จนส่งผลให้ตลาดหุ้นปรับตัวลงมาแรงในระดับ 600 จุด ต้นๆ ถือเป็นจังหวะที่ดีสำหรับนักลงทุนที่จะเข้าไปลงทุนเช่นกัน ซึ่งในส่วนของกองทุนหุ้นของบริษัทเองปัจจุบันมีการถือครองเงินสดไว้ประมาณ 10% เพราะมองว่าในช่วงเวลาดังกล่าวอาจจะมีโอกาสที่จะเข้าลงทุนในหุ้นในจังหวะที่ดีได้เช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามโดยรวมตลอดทั้งปีตลาดหุ้นไทยในปีนี้น่าจะปรับขึ้นไปได้ประมาณ 15-20% จากปัจจุบัน
"จังหวะที่น่าลงทุนคือจังหวะที่ทุกคนกลัว ตลาดเต็มไปด้วยข่าวร้าย การปรับตัวลงจากความกลัวของตลาดในลักษณะนี้ จึงเป็นจังหวะที่ดีสำหรับนักลงทุนที่จะเข้าลงทุนได้" นายวนา กล่าว